วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

โรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย

                                

                               Shigella


ลักษณะของเชื้อ
                        
              Shigella เป็นชื่อสกุลของแบคทีเรียในวงศ์ Enterobacteriaceae เป็น แบคทีเรียกลุ่มแกรมลบ (Gram negative bacteria) มีรูปร่างเป็นท่อน ไม่สร้างสปอร์ ไม่เคลื่อนไหว เป็นแบคทีเรียก่อโรค (pathogen) ที่ติดต่อผ่านทางอาหารทำให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษ (food poisoning) ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อ (infection) ทำให้เกิดโรคบิด หรือ Shigellosis 

ลักษณะของเชื้อ Shigella

                                                              ที่มา : mgr.myfirstbrain.com


ปัจจัยที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของเชื้อ

  • Shigella เป็นแบคทีเรียในกลุ่ม facultative anaerobe คือเจริญได้ทั้งในภาวะที่มีออกซิเจนและไม่มีออกซิเจน
  • water activity ต่ำสุดที่เจริญได้คือ 0.96
  • เจริญได้ที่อุณหภูมิระหว่าง 6.1- 47.1 องศาเซลเซียส
  • ค่า pH ที่เจริญได้ดีอยู่ระหว่าง 4.8-9.2


การก่อโรค

                        โรคบิดไม่มีตัว หรือ โรคบิดชิเกลลา (Shigellosis หรือ Shigella infection หรือ Bacilla ry dysentery) เป็นโรคที่ก่ออาการท้องเสียที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียในกลุ่ม Enterobac teriaceae โดยเป็นแบคทีเรีย ชื่อ ชิเกลลา/Shigella (Shigella species ย่อว่า S.)แบคทีเรียชิเกลลา เป็นแบคทีเรียที่มักดื้อต่อยาปฏิชีวนะได้ง่าย และมีหลายสายพันธุ์ย่อย โดยสายพันธุ์ S. dysenteriae type 1 เป็นสายพันธุ์ที่ก่ออาการรุนแรงสูงสุด และก่อให้มีการระบาดของโรค ซึ่งเป็นสายพันธุ์พบบ่อยในประเทศที่กำลังพัฒนา นอกจากนี้ในประเทศที่กำลังพัฒนา ยังพบสายพันธุ์ S. flexneri และ S. boydii ส่วนสายพันธุ์ที่พบบ่อยในประเทศที่เจริญแล้ว คือ S. sonnei ซึ่งเป็นสายพันธุ์มีความรุนแรงต่ำที่สุด




การติดต่อของโรค

                        โรคบิดชิเกลลา เป็นโรคติดต่อจากอาหาร น้ำดื่ม อุจจาระ-มือ-สู่ปาก ที่เรียกว่า ”Fecal-oral transmission” ที่พบได้ในทุกอายุ และพบได้ทั้งสองเพศในอัตราส่วนใกล้เคียงกัน โรคบิดชิเกลลา เป็นโรคท้องเสียที่มีความรุนแรงสูงและพบได้บ่อย โดยเฉพาะในประเทศที่กำลังพัฒนาและที่อยู่ในเขตร้อน โดยมีรายงานการเกิดโรคนี้ทั่วโลกประมาณ 140 ล้านคนต่อปี ในการนี้จะเสียชีวิตประมาณ 6 แสนคน ซึ่ง 60% ของผู้เสียชีวิตจะเป็นเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี โดย 99% ของเด็กที่เสียชีวิต จะอยู่ในประเทศที่กำลังพัฒนา
ผู้มีปัจจัยเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
  •  เด็กวัย 2-4 ปี
  • เด็กอ่อนในถิ่นระบาดของโรคที่ไม่ได้กินนมแม่
  • การอยู่ในสถานที่แออัด เช่น สถานเลี้ยงเล็ก บ้านพักคนชรา ค่ายทหาร และในคุก
  • การขาดสุขอนามัย หรือผู้เดินทางในถิ่นที่ขาดสุขอนามัย หรือมีการระบาดของโรค
  • มีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก


อาการของโรค

                  เชื้อบิดไม่มีตัว/บิดชิเกลลาจะก่ออาการหลังจากเข้าสู่ร่างกายแล้วประมาณ 1-4 วัน (ระยะฟักตัวของโรค) อย่างไรก็ตาม มีผู้ป่วยจำนวนหนึ่งที่ติดเชื้อ และสามารถแพร่เชื้อได้ในช่วงยังไม่ก่ออาการ/ระยะฟักตัว
อาการของโรคบิดไม่มีตัวที่พบได้บ่อย คือ
  • ปวดท้องทันที ปวดท้องได้ในทุกตำแหน่งของช่องท้อง และมักมีอาการแบบปวดบิด ท้องเสีย อุจจาระเป็นมูกเลือด ปวดเบ่งเมื่อถ่ายอุจจาระ จึงมักเป็นสาเหตุให้เนื้อ เยื่อทวารหนักปลิ้นออกมาตามแรงเบ่ง (Rectal prolapse)
  • มีไข้สูงทันที อาจสูงได้ถึง 40 องศาเซลเซียส (Celsius) ดังนั้นเมื่อเกิดโรคในเด็กเล็ก จึงเป็นสาเหตุให้เด็กเกิดไข้ชักได้
  • อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ผอมลง/น้ำหนักลด คลื่นไส้ อาเจียน มีภาวะขาดอาหาร/ทุโภชนา
  • อนึ่ง อาการต่างๆมักกลับเป็นปกติหลังการรักษาแล้วประมาณ 10-14 วัน แต่มีผู้ป่วยประ มาณ 3% จะเกิดมีการสร้างสารภูมิต้านทานที่ต้านตนเอง ก่อให้เกิดมีอาการอื่นๆตามมาภาย หลังการติดเชื้อประมาณ 2-3 สัปดาห์ เรียกว่ากลุ่มอาการ“Reiter’s syndrome หรือ Reactive arthritis” กล่าวคือ มีอาการปวดข้อ ตาแดงจากการอักเสบของเยื่อตา (เยื่อตาอักเสบ) และของผนังลูกตาชั้นกลาง (Uvea) และมีการอักเสบของท่อปัสสาวะ ก่อให้เกิดการปวดแสบเมื่อปัสสาวะ ซึ่งอาการเหล่านี้มักเกิดตามหลังการติดเชื้อชนิด S.flexneri                                



การวินิจฉัย

                แพทย์วินิจฉัยโรคบิดไม่มีตัว/บิดชิเกลลาได้จาก ประวัติอาการ ถิ่นที่อยู่อาศัย การตรวจร่างกาย การตรวจอุจจาระ การตรวจหาเชื้อชิเกลลาจากอุจจาระด้วยเทคนิคเฉพาะต่างๆ เช่น จากการเพาะเชื้อ, จากการตรวจสารภูมิต้านทานด้วยเทคนิคเรืองแสง, และ/หรือจากการตรวจด้วยเทคนิคที่เรียกว่า พีซีอาร์ (PCR, Polymerase chain reactor)

การรักษาของโรค

             แนวทางการรักษาโรคบิดไม่มีตัว/บิดชิเกลลา คือ การใช้ยาปฏิชีวนะ และการรักษาประ คับประคองตามอาการ
  • การใช้ยาปฏิชีวนะ เช่น ยา NorfloxacinOfloxacin, และ Ciprofloxacin
  • การรักษาประคับประคองฯ เช่น ยาลดไข้ การให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำเมื่อมีภาวะขาดน้ำ เป็นต้น


ผลข้างเคียง/ภาวะแทรกซ้อน

                โรคบิดไม่มีตัว/บิดชิเกลลา เป็นโรครุนแรงและเป็นสาเหตุให้เสียชีวิตได้จากการเกิดผลข้างเคียง/ภาวะแทรกซ้อน ทั้งนี้ขึ้นกับ สายพันธุ์ของเชื้อบิด เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้มีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำ
ผลข้างเคียงจากโรคที่พบได้ คือ ภาวะขาดน้ำจากอาการท้องเสียไข้ชักจากไข้สูง, การเกิดภาวะไตวายเฉียบพลันจากพิษจากเชื้อชิเกลลาแผลผนังลำไส้ทะลุก่อการติดเชื้อในช่องท้อง (เยื่อบุช่องท้องอักแสบ)ภาวะลำไส้ใหญ่หยุดการบีบตัวจากพิษของเชื้อชิเกลลา ซึ่งอาจทำให้ลำไส้ใหญ่แตกทะลุได้ (Toxic megacolon), กลุ่มอาการ Reiter’s syndrome, และเนื้อ เยื่อทวารหนักปลิ้นออกนอกทวารหนักจากแรงเบ่งอุจจาระ

การป้องกันของโรค 

             ปัจจุบัน ยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรคบิดไม่มีตัว/บิดชิเกลลา แต่กำลังมีการศึกษาที่คาดว่าน่า จะมีวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ  แต่จะป้องกันโรคได้เฉพาะจาก 3 สายพันธุ์ที่พบก่อโรคได้บ่อย คือ S.dysenteriae type 1, S. flexneri และ S. sonnei โดยมีการป้องกันดังนี้
  • รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ)
  • รักษาความสะอาดของ อาหาร น้ำดื่ม น้ำใช้ โดยเฉพาะเมื่อท่องเที่ยวในถิ่นระบาดของโรค หรือสถานที่ที่ขาดสุขอนามัย
  • กินอาหารปรุงสุกทั่วถึงเสมอ
  • ผัก ผลไม้ สด ต้องล้างให้สะอาดก่อนบริโภค ระวังการกินน้ำแข็ง
  • รักษาความสะอาด เสื้อผ้า เครื่องใช้โดยเฉพาะในการปรุงอาหาร
  • ล้างมือบ่อยๆโดยเฉพาะก่อนกินอาหารและหลังเข้าห้องน้ำ รวมทั้งการสอนเด็กๆให้รู้จักคุณค่าของการล้างมือและวิธีล้างมือ
  • เลี้ยงเด็กอ่อนด้วยนมแม่
  • เมื่อเด็กท้องเสีย ควรให้เด็กหยุดโรงเรียนจนกว่าจะหาย เพื่อควบคุมการแพร่เชื้อ
  • ทิ้งทิชชูที่ทำความสะอาดจากท้องเสีย ให้เป็นที่ทาง ถูกหลักอนามัย
  • เมื่อเราท้องเสีย ควรหยุด ไม่ควรทำครัว หรือปรุงอาหารให้ผู้อื่น
  • ใช้ส้วมเสมอเมื่อถ่ายอุจจาระ
  • ช่วยกันดูแลชุมชนที่อยู่อาศัยให้มีสุขอนามัย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น