ปัญญาอ่อน(Mental Retardation)
คือ ภาวะที่สมองหยุดพัฒนาหรือพัฒนาไม่สมบูรณ์ ทำให้เกิดความบกพร่องของทักษะต่างๆ เช่น ด้านสติปัญญา ภาษา การเคลื่อนไหว และทางสังคม ภาวะปัญญาอ่อนอาจมีหรือไม่มีความผิดปกติทางกายหรือทางจิตร่วมด้วยก็ได้ ส่วนระดับภาวะของปัญญาอ่อนตามธรรมดาจะประเมินด้วยการตรวจเชาวน์ปัญญาแบบมาตรฐาน แต่การตรวจนี้ อาจแทนด้วยการประเมินความสามารถในการปรับตัวทางสังคม
ซึ่งใช้เพื่อประมาณระดับของภาวะปัญญาอ่อน สำหรับการวินิจฉัยอย่างถูกต้องจะใช้การทดสอบเชาวน์ปัญญาโดยผู้ตรวจที่มีความชำนาญ ความสามารถทางสติปัญญา และการปรับตัวทางสังคมอาจเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา จากไม่ดีหรือต่ำ มาดีขึ้นจากการฝึกสอนและฟื้นฟูสมรรถภาพ การวินิจฉัยควรพิจารณาระดับความสามารถในเวลาปัจจุบัน
ซึ่งใช้เพื่อประมาณระดับของภาวะปัญญาอ่อน สำหรับการวินิจฉัยอย่างถูกต้องจะใช้การทดสอบเชาวน์ปัญญาโดยผู้ตรวจที่มีความชำนาญ ความสามารถทางสติปัญญา และการปรับตัวทางสังคมอาจเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา จากไม่ดีหรือต่ำ มาดีขึ้นจากการฝึกสอนและฟื้นฟูสมรรถภาพ การวินิจฉัยควรพิจารณาระดับความสามารถในเวลาปัจจุบัน
ภาวะปัญญาอ่อนระดับน้อย (Mild Mental Retardation)ภาวะปัญญาอ่อนระดับน้อย ประมาณระดับเชาวน์ปัญญา (I.Q.) อยู่ระหว่าง 50 - 69(อายุสมองเท่ากับเด็กอายุ 9 ปี-ต่ำกว่า 12 ปี) ทำให้มีปัญหาการเรียนในโรงเรียน ในวัยผู้ใหญ่หลายคนสามารถทำงาน และมีสัมพันธภาพทางสังคมที่ดี และช่วยเหลือสังคมได้
ภาวะปัญญาอ่อนระดับปานกลาง (Moderate Mental Retardation) ภาวะปัญญาอ่อนระดับปานกลาง ประมาณระดับเชาวน์ปัญญา (I.Q.) อยู่ระหว่าง 35 - 49 (อายุสมองเท่ากับเด็กอายุ 6 ปี-ต่ำกว่า 9ปี) ทำให้มีการพัฒนาล่าช้าในวัยเด็ก แต่บางส่วนสามารถเรียนรู้ การช่วยเหลือตนเอง การสื่อความหมาย และทักษะการศึกษา ในวัยผู้ใหญ่ต้องการความช่วยเหลือในระดับต่างๆ ในการอยู่อาศัยและทำงานในชุมชน
ภาวะปัญญาอ่อนระดับรุนแรง (Severe Mental Retardation)ภาวะปัญญาอ่อนระดับรุนแรง ประมาณระดับเชาวน์ปัญญา (I.Q.) อยู่ระหว่าง 20 - 34 (อายุสมองเท่ากับเด็กอายุ 3 ปี-ต่ำกว่า 6 ปี) ทำให้ต้องดูแลและช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง
ภาวะปัญญาอ่อนระดับรุนแรงมาก (Profound Mental Retardation) ภาวะปัญญาอ่อนระดับรุนแรงมาก ประมาณระดับเชาวน์ปัญญา (I.Q.) ต่ำกว่า 20 (อายุสมองเท่ากับเด็กอายุ ต่ำกว่า 3 ปี) จำกัด ความสามารถในทุกด้าน ทั้งเรื่องการดูแลตนเอง การสื่อสารและ การเคลื่อนไหว
คือสภาวะที่เชาวน์ปัญญาต่ำกว่าปกติ ซึ่งเกิดขึ้นตั้งแต่แรกเกิดหรือในวัยเด็ก ทำให้การเรียนรู้ การปรับตัวในสังคม ซึ่งหมายถึงการสามารถพึ่งตนเองและความสามารถรับผิดชอบต่อสังคมตามควรแก่วัยหรือตามที่สังคมของตนหวังไว้บกพร่องไป รวมทั้งการพัฒนาทางบุคลิกภาพ ก็ไม่เจริญสมวัย ทั้งมักพบความผิดปกติในอารมณ์ร่วมด้วย ความรุนแรงของโรคคิดตามระดับ IQ IQ ของคนปกติได้มีผู้ศึกษาหามาตรฐานไว้แล้วว่ามีค่าเฉลี่ยเท่ากับ ๑๐๐ และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (standard deviation) เท่ากับ ๑๕ คนที่จัดว่าเป็นปัญญาอ่อนคือ คนที่ระดับ IQ ต่ำกว่า IQ เฉลี่ยมากกว่า ๒ เท่าของค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน คือ IQ ต่ำกว่า ๑oo-(๒ X ๑๕) เท่ากับ ๗๐ ที่เลือก IQ ๗๐ เป็นขอบเขตสูงสุดของปัญญาอ่อน เพราะคนที่IQ ตั้งแต่ระดับนี้ลงมาจะต้องการการดูแลและการคุ้มครองเป็นพิเศษกว่าเด็กอื่น โดยเฉพาะในวัยเข้าโรงเรียน IQ ต่ำกว่า ๕๐ ถือว่าเชาวน์ปัญญาต่ำมาก และเป็นพวกที่มีความผิดปกติในสมองร่วมด้วยเป็นส่วนใหญ่ตามการจำแนกโรคของสมาคมจิตแพทย์อเมริกันครั้งที่ ๓ ค.ศ. ๑๙๘๐ หรือ DSM-III จะจัดบุคคลอยู่ในกลุ่มปัญญาอ่อนเฉพาะเมื่ออาการของโรคเกิดก่อนอายุ ๑๘ ปีเท่านั้น ในกรณีที่ลักษณะของปัญญาอ่อนปรากฎเป็นครั้งแรกหลังอายุ ๑๘ ปี ผู้ป่วยจะได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น dementia และคนที่แสดงอาการของปัญญาอ่อนก่อนอายุ ๑๘ ปี แต่เคยมีเชาวน์ปัญญาปกติมาก่อน ควรวินิจฉัยว่าเป็นทั้งdementia และปัญญาอ่อน
ระบาดวิทยา
พบอุบัติการของปัญญาอ่อนประมาณร้อยละ ๑ ของประชากร (dsm-iii) บางตำราว่าสูงถึงร้อยละ ๒-๓ เพศชายพบมากกว่าเพศหญิง สัดส่วนเพศชายต่อเพศหญิงประมาณ ๒ ต่อ ๑ พบในคนที่มีฐานะทางเศรษฐกิจสังคมต่ำมากกว่าคนที่มีฐานะทางเศรษฐกิจสังคมสูง และมักเป็นคนที่อยู่ในชนบทร้อยละ ๑๗ ของผู้ป่วยมีประวัติครอบครัวเป็นปัญญาอ่อนด้วย
สาเหตุ
๑. ปัจจยทางชีววิทยา พบได้ร้อยละ ๒๐-๒๕ ของผู้ป่วยปัญญาอ่อน ที่พบบ่อยคือ ความผิดปกติของโครโมโซมและเมตาบอลิส์ม ได้แก่ Down’s syndrome และ Phenylketonuria ในรายเหล่านี้มักจะวินิจฉัยได้ตั้งแต่เกิด หรือตั้งแต่ยังเล็กมาก ความรุนแรงของโรคจะอยู่ระหว่างปัญญาอ่อนขนาดปานกลางถึงขนาดรุนแรง และพบในคนทุกระดับเศรษฐกิจสังคม ในแม่ที่ดื่มสุราจัดขณะตั้งครรภ์ทารกอาจปัญญาอ่อนได้
ปัจจัยทางชีววิทยาจำแนกเป็น
๑.๑ ความผิดปกติในโครโมโซม เช่น Downs syndrome หรือ Mongolism, Turners syndrome และ Klinefelter’s syndrome
๑.๒ การติดเชื้อหรือสภาวะเป็นพิษ (intoxication) ในมารดา ได้แก่ โรค Rubella, Toxoplasmosis, Syphilis, Cytomegalic inclusion body disease และ Toxemia pregnancy (ภาวะครรภ์เป็นพิษ)
๑.๓ การติดเชื้อหรือสภาวะเป็นพิษในทารก ได้แก่ การติดเชื้อชนิดต่างๆ ของสมองและเยื่อหุ้มสมอง Kernicterus และ Post-immunization
๑.๔ ความผิดปกติในเมตาบอลิสม์และโภชนาการ ได้แก่ โรค Lipoidoses, Phenylketonuria, galactosemia, Hypothyroidism (cretinism) และการขาดอาหาร
๑.๕ ความกระทบกระเทือนต่อสมองจากการคลอด เช่น การกระทบกระเทือนจากเครื่องมือที่ช่วยการคลอด ภาวะขาดอ๊อกซิเจน (asphyxia)
๑.๖ ความบกพร่องของระบบประสาท ได้แก่ Sturge-Weber syndrome, Tuberous sclerosis (epiloia), Laurence-Moon-Biedle syndrome
๑.๗ ความบกพร่องของกระดูก ได้แก่ Genetic microcephaly, Hypertelolism และOxycephaly
๑.๘ การคลอดก่อนกำหนด (prematurity)
๒. ปัจจัยทางจิต-สังคม (psychosocial factor) หมายถึง พวกที่ไม่พบสาเหตุทางชีววิทยาชัดIจนIQ ของผู้ป่วยที่เกิดจากปัจจัยนี้จะต่ำไม่มาก คือ อยู่ระหว่าง ๕๐-๗๐ และมักจะสังเกตได้เมื่อเข้าโรงเรียน พบในพวกที่มีฐานะทางเศรษฐกิจสังคมต่ำมากกว่า และมีประวัติปัญญาอ่อนในครอบครัวด้วย ปัจจัยนี้ประกอบด้วย
๒.๑ การขาดความสัมพันธ์กับสังคมหรือสิ่งแวดล้อม (psychosocial or environmental deprivation) แบบต่างๆ เช่น การขาดการสังคม ไม่ได้รับการสอน ไม่ได้ยินได้ฟัง หรือขาดการกระตุ้นทางเชาวน์ปัญญา
๒.๒ หลังการเจ็บป่วยทางจิตอย่างรุนแรง
๓. เกิดจากทั้ง ๒ ปัจจัยร่วมกัน เช่น เกิดความผิดปกติทางชีววิทยาและขาดการกระตุ้นทางเชาวน์ปัญญาด้วย
การจำแนกปัญญาอ่อนตามความรุนแรงของอาการ เป็น ๔ ขนาด
๑. ขนาดน้อย (Mild mental retardation) IQ = ๕๐-๗๐
๒. ขนาดปานกลาง (Moderate mental retardation) IQ = ๓๕-๔๙
๓. ขนาดรุนแรง (severe mental retardation) IQ = ๒๐-๓๔
๔. ขนาดรุนแรงมาก (Profound mental retardation) IQ ต่ำกว่า ๒๐
ลักษณะทางคลีนิค
ผู้ป่วยพวกนี้จะมีความสามารถในการเรียนรู้ด้อยกว่าเด็กปกติ พึ่งตนเองไม่ค่อยได้ รับผิดชอบต่อสังคมได้น้อยกว่าที่ควรจะทำได้ตามวัยของตน และการเจริญทางบุคลิกภาพและอารมณ์ ไม่สมวัยนอกจากนั้นยังมักพบปัญหาโรคจิต โรคประสาทร่วมด้วย อาจมีปัญหาทางพฤติกรรม เช่น หงุดหงิดง่าย ก้าวร้าว temper tantrum, stereotyped movement หรือ hyperactivity และบ่อยๆ ที่มีความผิดปกติของระบบประสาทโดยเฉพาะในพวกที่เป็นรุนแรง เช่น หูหนวกหรือ สายตาไม่ดี ชัก หรือ cerebral palsy ยิ่งกว่านั้นการพัฒนาทางร่างกายยังช้าด้วยผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะไม่สามารถทำอะไรได้ตามลำพัง เพราะฉะนั้นจำเป็นต้องได้รับคำแนะนำและการช่วยเหลือในด้านการเงินอยู่เสมอ
ลักษณะทางคลีนิคที่ต่างกันในปัญญาอ่อนขนาดต่างๆ
ก. ขนาดน้อย พบประมาณร้อยละ ๘o ของพวกปัญญาอ่อน (DSM-III) ผู้ป่วยจะสามารถเรียนได้ สามารถมีทักษะในการสังคมและการติดต่อสื่อสารในวัยก่อนเข้าโรงเรียน (อายุ ๐-๕ ปี) มีปัญหาในด้าน sensorimotor น้อย และมักจะเห็นไม่ชัดว่าแตกต่างจากเด็กปกติจนกระทั่งอายุมากขึ้น จะเรียนได้ประมาณชั้นประถมปีที่ ๖ ในวัยผู้ใหญ่จะมีทักษะทางสังคมและในงานอาชีพเพียงขั้นต่ำ และจำเป็นต้องได้รับคำแนะนำหรือการช่วยเหลือเมื่อมีปัญหาสังคมหรือ ปัญหาเศรษฐกิจ
ข. ขนาดปานกลาง พบประมาณร้อยละ ๑๒ ของพวกปัญญาอ่อน (dsm-iii) ผู้ป่วยกลุ่มนี้สามารถฝึกอบรมได้ ในวัยเก่อนเข้าโรงเรียนเขาจะสามารถพูดหรือติดต่สื่อสารกับผู้อื่นได้ แต่จะไม่รู้ว่าอะไรควรหรืออะไรไม่ควรตามที่สังคมเขาถือกัน อาจฝึกให้ทำงานและดูแลตัวเองได้ เมื่อมีผู้แนะนำ เรียนได้เพียงชั้นประถมปีที่ ๒ สามารถเดินทางไปในที่ๆ คุ้นเคยได้ตามลำพัง ในวัยผู้ใหญ่อาจทำงานที่ไม่ต้องอาศัยความชำนาญพิเศษ หรืองานที่ไม่ต้องอาศัยความชำนาญเลยได้ แต่ต้องมีผู้แนะนำใกล้ชิด
ค. ขนาดรุนแรง พบประมาณร้อยละ ๗ ของพวกปัญญาอ่อน (dsm-iii) ในวัยก่อนเข้าโรงเรียนจะพบการพัฒนาทางการเคลื่อนไหวและการพูดช้า ภาษาพูดก็ไม่สื่อความหมาย ในวัยเข้าโรงเรียนอาจเรียนที่จะพูดและฝึกเกี่ยวกับอนามัยเบื้องต้นได้ แต่ไม่สามารถฝึกอาชีพ เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่อาจทำงานง่ายๆ ได้ถ้ามีผู้แนะนำใกล้ชิด
ง. ขนาดรุนแรงมาก พบประมาณร้อยละ ๑ ของผู้ป่วยปัญญาอ่อน (dsm-iii) การพัฒนาทางระบบ sensorimotor ของผู้ป่วยกลุ่มนี้จะน้อยมาก ต้องอาศัยสิ่งแวดล้อมซึ่งส่งเสริมการพัฒนาของเด็กอย่างสูง และการดูแลอย่างสม่ำเสมอในวัยก่อนเข้าโรงเรียน อาจมีการเจริญทางการเคลื่อนไหวมากขึ้น แต่ฝึกให้ช่วยตัวเองได้น้อยมาก ภาษาพูดบางอย่างและการเคลื่อนไหว อาจจะเกิดเมื่อถึงวัยผู้ใหญ่ เพราะฉะนั้นเด็กพวกนี้อาจช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลย
การฟื้นฟูสมรรถภาพในบุคคลที่มีภาวะบกพร่องทางสติปัญญา มีดังนี้
1. การฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์ (Medical Rehabilitation)
การฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์ในช่วงแรกเกิด – 6 ปี ได้แก่ การส่งเสริมป้องกัน บำบัดรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพ นอกจากการส่งเสริมสุขภาพเช่นเด็กปกติ การบำบัดรักษาความผิดปกติที่อาจพบร่วมด้วย เช่น โรคลมชัก Cretinism, PKU, cerebral palsy, โรคหัวใจพิการแต่กำเนิดหรือภาวะพร่องไทรอยด์ฮอร์โมนที่พบในกลุ่มอาการดาวน์ ให้การส่งเสริมพัฒนาการเพื่อพัฒนาทักษะด้านกล้ามเนื้อมัดใหญ่ กล้ามเนื้อมัดเล็กและสติปัญญา ภาษา สังคมและการช่วยเหลือตนเองเพื่อให้เด็กมีความพร้อมในการเข้าสู่ระบบการศึกษา การดูแลโดยทีมสหวิชาชีพ เช่น อรรถบำบัด กายภาพบำบัด กิจกรรมบำบัด เป็นต้น
การส่งเสริมพัฒนาการ(Early Intervention)
การส่งเสริมพัฒนาการ หมายถึง การจัดโปรแกรมการฝึกทักษะที่จำเป็นในการเรียนรู้ เพื่อนำไปสู่พัฒนาการปกติตามวัยของเด็ก จากการวิจัยพบว่า เด็กที่ได้รับการฝึกทักษะที่จำเป็นในการพัฒนาแต่เยาว์วัย จะสามารถเรียนรู้ได้ดีกว่าการฝึกเมื่อเด็กโตแล้ว ทันทีที่วินิจฉัยว่าเด็กมีภาวะบกพร่องทางสติปัญญา เช่น เด็กกลุ่มอาการดาวน์ หรือเด็กที่มีอัตราเสี่ยงสูงว่าจะมีภาวะบกพร่องทางสติปัญญา เช่น เด็กคลอดก่อนกำหนด มารดาตกเลือดคณะตั้งครรภ์ เป็นต้น สามารถจัดโปรแกรมส่งเสริมพัฒนาการให้เด็กกลุ่มนี้ได้ทันที โดยไม่ต้องนำเด็กมาไว้ที่โรงพยาบาล โปรแกรมการส่งเสริมพัฒนาการ คือ การจัดสภาพแวดล้อมให้เอื้ออำนวยต่อการเรียนรู้ของเด็ก บิดามารดา และคนเลี้ยงดู มีบทบาทสำคัญยิ่งในการฝึกเด็กให้พัฒนาได้ตามโปรแกรมอย่างสม่ำเสมอ ผลสำเร็จของการส่งเสริมพัฒนาการจึงขึ้นอยู่กับความร่วมมือ และความตั้งใจจริงของบุคคลในครอบครัวของเด็กมากกว่าผู้ฝึกที่เป็นนักวิชาชีพ (Professional staff)
กายภาพบำบัด
เด็กที่มีภาวะบกพร่องทางสติปัญญามักจะมีพัฒนาการด้านการเคลื่อนไหวร่างกาย (motor development) ช้ากว่าวัย นอกจากนี้เด็กที่มีภาวะบกพร่องทางสติปัญญาขนาดหนักและหนักมาก ส่วนใหญ่ก็จะมีความพิการทางระบบประสาทส่วนกลาง (central nervous system) ด้วย ทำให้มีการเกร็งของแขน ขา ลำตัว จึงจำเป็นต้องแก้ไขอาการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ เพื่อช่วยลดการยึดติดของข้อต่อ และการสูญเสียกล้ามเนื้อ เด็กจะช่วยตัวเองได้มากขึ้น เมื่อเจริญวัยขึ้น
กิจกรรมบำบัด
การฝึกการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก ได้แก่ การใช้มือหยิบจับสิ่งของ ฝึกการทำงานของตาและมือให้ประสานกัน (eye-hand co-ordination) เด็กสามารถหยิบจับสิ่งของ เช่น จับถ้วยกินน้ำ จับแปรงสีฟัน หยิบช้อนกินข้าว การรักษาทางกิจกรรมบำบัด จะช่วยให้การดำเนินชีวิตประจำวัน เป็นไปอย่างราบรื่นและสะดวกขึ้น
อรรถบำบัด
เด็กที่มีภาวะบกพร่องทางสติปัญญาเกินกว่าร้อยละ 70 มีปัญหาการพูดและการสื่อความหมาย กระบวนการฝึกในเรื่องนี้ มิใช่เพื่อให้เปล่งสำเนียงเป็นภาษาที่คนทั่วไปเข้าใจเท่านั้น แต่จะเริ่มจากเด็กต้องฝึกใช้กล้ามเนื้อช่วยพูด บังคับกล้ามเนื้อเปล่งเสียง ออกเสียงให้ถูกต้อง ซึ่งการฝึกพูดต้องกระทำตั้งแต่เด็กอายุต่ำกว่า 4 ปี จึงจะได้ผลดีที่สุด
การฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์ในช่วงแรกเกิด – 6 ปี ได้แก่ การส่งเสริมป้องกัน บำบัดรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพ นอกจากการส่งเสริมสุขภาพเช่นเด็กปกติ การบำบัดรักษาความผิดปกติที่อาจพบร่วมด้วย เช่น โรคลมชัก Cretinism, PKU, cerebral palsy, โรคหัวใจพิการแต่กำเนิดหรือภาวะพร่องไทรอยด์ฮอร์โมนที่พบในกลุ่มอาการดาวน์ ให้การส่งเสริมพัฒนาการเพื่อพัฒนาทักษะด้านกล้ามเนื้อมัดใหญ่ กล้ามเนื้อมัดเล็กและสติปัญญา ภาษา สังคมและการช่วยเหลือตนเองเพื่อให้เด็กมีความพร้อมในการเข้าสู่ระบบการศึกษา การดูแลโดยทีมสหวิชาชีพ เช่น อรรถบำบัด กายภาพบำบัด กิจกรรมบำบัด เป็นต้น
การส่งเสริมพัฒนาการ(Early Intervention)
การส่งเสริมพัฒนาการ หมายถึง การจัดโปรแกรมการฝึกทักษะที่จำเป็นในการเรียนรู้ เพื่อนำไปสู่พัฒนาการปกติตามวัยของเด็ก จากการวิจัยพบว่า เด็กที่ได้รับการฝึกทักษะที่จำเป็นในการพัฒนาแต่เยาว์วัย จะสามารถเรียนรู้ได้ดีกว่าการฝึกเมื่อเด็กโตแล้ว ทันทีที่วินิจฉัยว่าเด็กมีภาวะบกพร่องทางสติปัญญา เช่น เด็กกลุ่มอาการดาวน์ หรือเด็กที่มีอัตราเสี่ยงสูงว่าจะมีภาวะบกพร่องทางสติปัญญา เช่น เด็กคลอดก่อนกำหนด มารดาตกเลือดคณะตั้งครรภ์ เป็นต้น สามารถจัดโปรแกรมส่งเสริมพัฒนาการให้เด็กกลุ่มนี้ได้ทันที โดยไม่ต้องนำเด็กมาไว้ที่โรงพยาบาล โปรแกรมการส่งเสริมพัฒนาการ คือ การจัดสภาพแวดล้อมให้เอื้ออำนวยต่อการเรียนรู้ของเด็ก บิดามารดา และคนเลี้ยงดู มีบทบาทสำคัญยิ่งในการฝึกเด็กให้พัฒนาได้ตามโปรแกรมอย่างสม่ำเสมอ ผลสำเร็จของการส่งเสริมพัฒนาการจึงขึ้นอยู่กับความร่วมมือ และความตั้งใจจริงของบุคคลในครอบครัวของเด็กมากกว่าผู้ฝึกที่เป็นนักวิชาชีพ (Professional staff)
กายภาพบำบัด
เด็กที่มีภาวะบกพร่องทางสติปัญญามักจะมีพัฒนาการด้านการเคลื่อนไหวร่างกาย (motor development) ช้ากว่าวัย นอกจากนี้เด็กที่มีภาวะบกพร่องทางสติปัญญาขนาดหนักและหนักมาก ส่วนใหญ่ก็จะมีความพิการทางระบบประสาทส่วนกลาง (central nervous system) ด้วย ทำให้มีการเกร็งของแขน ขา ลำตัว จึงจำเป็นต้องแก้ไขอาการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ เพื่อช่วยลดการยึดติดของข้อต่อ และการสูญเสียกล้ามเนื้อ เด็กจะช่วยตัวเองได้มากขึ้น เมื่อเจริญวัยขึ้น
กิจกรรมบำบัด
การฝึกการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก ได้แก่ การใช้มือหยิบจับสิ่งของ ฝึกการทำงานของตาและมือให้ประสานกัน (eye-hand co-ordination) เด็กสามารถหยิบจับสิ่งของ เช่น จับถ้วยกินน้ำ จับแปรงสีฟัน หยิบช้อนกินข้าว การรักษาทางกิจกรรมบำบัด จะช่วยให้การดำเนินชีวิตประจำวัน เป็นไปอย่างราบรื่นและสะดวกขึ้น
อรรถบำบัด
เด็กที่มีภาวะบกพร่องทางสติปัญญาเกินกว่าร้อยละ 70 มีปัญหาการพูดและการสื่อความหมาย กระบวนการฝึกในเรื่องนี้ มิใช่เพื่อให้เปล่งสำเนียงเป็นภาษาที่คนทั่วไปเข้าใจเท่านั้น แต่จะเริ่มจากเด็กต้องฝึกใช้กล้ามเนื้อช่วยพูด บังคับกล้ามเนื้อเปล่งเสียง ออกเสียงให้ถูกต้อง ซึ่งการฝึกพูดต้องกระทำตั้งแต่เด็กอายุต่ำกว่า 4 ปี จึงจะได้ผลดีที่สุด
2.การฟื้นฟูสมรรถภาพทางการศึกษา (Educational Rehabilitation)
ในช่วงอายุ 7 – 15 ปี มีการจัดการการศึกษาโดยมีแผนการศึกษาสำหรับแต่ละบุคคล (Individualized Educational Program : IEP) ในโรงเรียนซึ่งอาจเป็นการเรียนในชั้นเรียนปกติ เรียนร่วม หรือมีการจัดการศึกษาพิเศษ ในประเทศไทยโรงเรียนที่รับเด็กที่มีภาวะบกพร่องทางสติปัญญามีอยู่ทั่วไปทั้งในกรุงเทพมหานครและในต่างจังหวัด แต่ในทางปฏิบัติก็ยังไม่เพียงพอที่จะรับเด็กกลุ่มนี้
3.การฟื้นฟูสมรรถภาพทางอาชีพ (Vocational Rehabilitation)
เมื่ออายุ 15-18 ปี เป็นการฝึกวิชาชีพและลักษณะนิสัยที่ดีในการทำงาน เป็นสิ่งจำเป็นมากต่อการประกอบอาชีพในวัยผู้ใหญ่ ได้แก่ ฝึกการตรงต่อเวลา รู้จักรับคำสั่งและนำมาปฏิบัติเอง โดยไม่ต้องมีผู้เตือน การปฏิบัติตนต่อผู้ร่วมงานและมารยาทในสังคม เมื่อเข้าวัยผู้ใหญ่ควรช่วยเหลือให้ได้มีอาชีพที่เหมาะสม ทั้งนี้เพื่อให้บุคคลปัญญาอ่อน สามารถดำรงชีวิตอิสระ (independent living) ในสังคมได้อย่างคนปกติ (normalization) อาชีพที่บุคคลที่มีภาวะบกพร่องทางสติปัญญาสามารถทำได้ดี ได้แก่ อาชีพงานบ้าน งานบริการ งานในโรงงาน งานในสำนักงาน เช่น การรับส่งหนังสือ ถ่ายเอกสาร เป็นต้น ในประเทศไทย หน่วยงานที่ให้บริการด้านนี้ยังมีน้อย
คำแนะนำ
การฝึกสอนบุคคลที่มีภาวะบกพร่องทางสติปัญญามีจุดมุ่งหมายสูงสุด เพื่อให้มีความเป็นอยู่ใกล้เคียงคนปกติซึ่งจะประสบความสำเร็จหรือไม่เพียงใดนั้น ขึ้นอยู่กับตัวแปรต่อไปนี้ คือ
1.ระดับของภาวะบกพร่องทางสติปัญญา ผู้ที่มีภาวะบกพร่องทางสติปัญญาระดับเล็กน้อย มีโอกาสจะพัฒนาให้สามารถดำเนินชีวิตใกล้เคียงบุคคลปกติได้ดีกว่า ผู้ที่มีภาวะบกพร่องทางสติปัญญาระดับปานกลางหรือรุนแรง
2. ความผิดปกติที่พบร่วมด้วยซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นฟูสมรรถภาพ ทำให้ไม่ประสบผลดีเท่าที่ควร
2. ความผิดปกติที่พบร่วมด้วยซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นฟูสมรรถภาพ ทำให้ไม่ประสบผลดีเท่าที่ควร
3.การส่งเสริมพัฒนาการ ถ้าเด็กได้รับการส่งเสริมพัฒนาการตั้งแต่ระยะเริ่มแรก จะมีความพร้อมในการเรียนร่วมกับเด็กปกติในโรงเรียนทั่วไป มากกว่าการฝึกเมื่อเด็กโตแล้ว
4.ความร่วมมือของครอบครัวเด็ก ครอบครัวมีความสำคัญต่อเด็กมากที่สุด ตั้งแต่แรกเกิดจนตลอดชีวิต จึงควรจะเตรียมครอบครัวให้เข้าใจความพิการของเด็ก ข้อจำกัดของความสามารถ ความต้องการพิเศษ ความคาดหวัง ตลอดจนวิธีการอบรมเลี้ยงดูและฝึกสอนในทิศทางที่ถูกต้อง เพราะสมาชิกทุกคนในครอบครัวมีความสำคัญต่อพัฒนาการของเด็กอย่างยิ่ง
4.ความร่วมมือของครอบครัวเด็ก ครอบครัวมีความสำคัญต่อเด็กมากที่สุด ตั้งแต่แรกเกิดจนตลอดชีวิต จึงควรจะเตรียมครอบครัวให้เข้าใจความพิการของเด็ก ข้อจำกัดของความสามารถ ความต้องการพิเศษ ความคาดหวัง ตลอดจนวิธีการอบรมเลี้ยงดูและฝึกสอนในทิศทางที่ถูกต้อง เพราะสมาชิกทุกคนในครอบครัวมีความสำคัญต่อพัฒนาการของเด็กอย่างยิ่ง
การป้องกันภาวะบกพร่องทางสติปัญญา สามารถป้องกันได้ดังนี้
1. ระยะก่อนตั้งครรภ์
ประชาชนควรได้รับความรู้เรื่องภาวะบกพร่องทางสติปัญญา และสาเหตุที่สามารถป้องกันได้ เช่น การให้วัคซีนหัดเยอรมัน หรือ เกลือไอโอดีน ให้คำแนะนำคู่สมรสเรื่องอายุมารดาที่เหมาะในการตั้งครรภ์(19-34 ปี) และระยะห่างระหว่างตั้งครรภ์ (2 ปี) โรคทางพันธุกรรมที่สามารถตรวจวินิจฉัยได้ก่อนตั้งครรภ์และก่อนคลอด รวมทั้งการวางแผนครอบครัว
2. ระหว่างตั้งครรภ์
ควรฝากครรภ์ที่สถานีอนามัยหรือโรงพยาบาล เพื่อป้องกันปัจจัยเสี่ยงและหญิงตั้งครรภ์ได้รับวัคซีนที่จำเป็นครบถ้วน ได้รับสารอาหารที่เป็นประโยชน์อย่างเพียงพอ หลีกเลี่ยงการดื่มเหล้า การสูบบุหรี่หรือใช้สารเสพติด ไม่ควรซื้อยากินเอง เพราะอาจมีผลต่อทารกในครรภ์ แนะนำการส่งเสริมสุขภาพจิตในครอบครัว และการวินิจฉัยก่อนคลอด
3. ระยะคลอด
3. ระยะคลอด
ควรคลอดในสถานบริการสาธารณสุข เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น
4. ระยะหลังคลอด
ควรให้แม่และลูกได้อยู่ด้วยกันเร็วที่สุด เพื่อให้ลูกได้ดื่มนมแม่ซึ่งมีภูมิคุ้มกันโรคต่างๆและมีสารอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของสมองของลูก ระวังเรื่องตัวเหลืองในทารกแรกเกิด ให้วัคซีนป้องกันโรค ติดตามภาวะโภชนาการและพัฒนาการเด็ก โดยเฉพาะเด็กกลุ่มเสี่ยง ให้ความรู้แก่พ่อแม่ในการดูแลลูกยามเจ็บป่วย ระวังโรคติดเชื้อ สารพิษ และการกระทบกระเทือนต่อศีรษะลูก ให้ความรักและเอาใจใส่ต่อลูก บุคคลที่มีภาวะบกพร่องทางสติปัญญาสามารถเรียนรู้ และดำเนินชีวิตอย่างทัดเทียมและมีความสุขในสังคมได้เช่นเดียวกับบุคคลปกติ ถ้าสังคมเปิดโอกาสและให้ความช่วยเหลือที่เหมาะสม อันจะเอื้ออำนวยให้บุคคลที่มีภาวะบกพร่องทางสติปัญญาได้ใช้ชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรีและมีคุณค่า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น