การเบี่ยงเบนทางเพศ (Sexual Deviation)
ระบาดวิทยา
ปัญหาที่พบบ่อยในเพศหญิงได้แก่ low sexual interest และ difficulty with orgasm ส่วน ปัญหาในเพศชายได้แก่ low sexual interest และ premature ejaculation ประมาณกันว่าปัญหาทางเพศเกิดขึ้นบ่อยกว่าที่เราคิดกันมาก แต่เราไม่สามารถบอกได้ แน่นอนว่าจะมีผู้ที่มีปัญหาทางเพศมากน้อยเพียงใด เพราะเป็นเรื่องส่วนตัวที่คนเรามักไม่ เปิดเผยแม้ในสังคมตะวันตกก็ตาม สาเหตุ ปัญหาทางเพศอาจมีสาเหตุจากโรคทางกาย หรือโรคทางจิตเวช หรืออาจเกิดจากยาที่ใช้ รักษาโรคต่าง ๆ ได้ ดังตารางที่ 2นอกจากนี้แล้ว สาเหตุที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือปัจจัยทางจิตใจ ที่สำคัญได้แก่
- การขาดความรู้เกี่ยวกับเพศศึกษาที่ถูกต้อง
- ความกังวลเวลามีเพศสัมพันธ์ เช่น กลัวว่าจะทำได้ไม่ถูกใจภรรยา กลัวตั้งครรภ์ กลัวเจ็บ
- ความเคยชิน เช่น ก่อนแต่งงานร่วมเพศกับโสเภณีต้องรีบทำให้หลั่งอสุจิเร็ว
- เทคนิคไม่ถูกต้อง เช่น เล้าโลมน้อยเกินไป ไม่มีการบอกกันว่าชอบหรือไม่ชอบอย่างไร
การเบี่ยงเบนทางเพศ (Sexual Deviation) เป็น ความผิดปกติในคนที่มีความรู้สึกทางเพศ ทัศนคติ ตลอดจนพฤติกรรมทางเพศที่แสดงออกไม่เหมาะสม แตกต่างจากคนส่วนใหญ่ในสังคม มักมีสาเหตุจากสภาพจิตใจที่ผิดปกติทำให้เขาไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ แต่มิได้หมายความว่า “เป็นโรคจิตหรือวิกลจริต” เป็นเพียงความผิดปกติทางจิตเวช พวกบุคลิกภาพผิดปกติ (Personality Disorder) เท่านั้น
ความผิดปกติทางเพศมีหลายชนิด แต่ในที่นี้จะกล่าวถึงเฉพาะที่พบเห็นกันบ่อย ๆ ในสังคม คือ
1. ลักเพศ (Transvestism) คือ ภาวะในคนที่มีความสุขความพอใจในเพศ มีอารมณ์เพศจากการที่ได้แต่งตัวหรือแสดงท่าทางเป็นเพศตรงข้ามตนเอง เช่น ชายที่แต่งตัวเป็นหญิง หรือหญิงแต่งตัวเป็นชาย
2. ปฏิเสธเพศ (Transsexualism) คือ ภาวะของคนที่ไม่ยอมรับเพศที่แท้จริงโดยกำเนิดของตน และมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าต้องการผ่าตัดเปลี่ยนเพศของตนเอง
3. ชอบอวดอวัยวะเพศ ( Exhibitionism) คือ ภาวะของคนที่ได้รับความตื่นเต้นพอใจทางเพศจากการได้เปิดอวัยวะของตนในที่สาธารณะ มักพบในผู้ชายเกือบทั้งหมด มีลักษณะเฉพาะ คือ จะอวดอวัยวะเพศกับเด็กหญิงหรือหญิงสาวที่ไร้เดียงสาทางเพศ ตามโรงเรียน หอพัก หรือสวนสาธารณะ ท่าทางตื่นตกใจของเด็กหญิงหรือหญิงสาว จะทำให้เขาเกิดความรู้สึกตื่นเต้นทางเพศอย่างเต็มที่ พวกนี้จะไม่ทำร้ายเหยื่อของเขาเลย พอเหยื่อตกใจก็จะผละไปและมักกลับไปสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง
4. ถ้ำมอง (Voyeurism) คือ ภาวะของคนที่ได้รับความสุข ความพอใจทางเพศจากการแอบดูร่างเปลือย หรือการร่วมเพศของคนอื่น พบได้ทั้งหญิงและชาย แต่มักพบในผู้ชายมากกว่า เมื่อได้ดูสมใจก็จะทำให้เขาเกิดความรู้สึกทางเพศอย่างรุนแรงและมักจะสำเร็จ ความใคร่ไปด้วยในขณะที่แอบดูหรือกลับไปสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองภายหลัง
5. เบียดเสียดถูไถ (Frotteurism) คือ ภาวะของคนที่ได้รับความรู้สึกทางเพศโดยการเบียดเสียดถูไถกับผู้อื่น มักพบในชายมากกว่าหญิง พวกนี้จะถือโอกาสเบียดเสียดถูไถร่างกายของหญิงที่อยู่ข้างหน้าจนเกิดความ รู้สึกทางเพศอย่างรุนแรงจนถึงขั้นสำเร็จความใคร่
ข้อแนะนำในเรื่องการเบี่ยงเบนทางเพศ
ผู้ที่มีพฤติกรรมเบี่ยงเบน ควรปิดเป็นความลับเฉพาะตัว หรือเปิดเผยเฉพาะคนที่เข้าใจ และไว้วางใจ พยายามปรับพฤติกรรมการแสดงออกให้เหมาะสมกับเพศของตนและกาลเทศะ หาที่ปรึกษาเมื่อเกิดปัญหาในการปรับตัว หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย และพยายามพัฒนาตนเองให้มีความรู้ความสามารถอยู่เสมอ
ผู้ที่มีเพื่อนหรือคนใกล้ชิดมีพฤติกรรมเป็นรักร่วมเพศ ควรปฏิบัติดังนี้
1. ไม่ควรตีโพยตีพายเลิกคบ แต่ควรจำกัดความสัมพันธ์ไว้แค่เพื่อน ถ้าเขาพยายามจะคบหาแบบชู้สาว (สังเกตได้จาก การจับเนื้อต้องตัว ลูบไล้ร่างกายผิดไปจากเพื่อนตามปกติ มีการหึงหวงไม่ยอมให้มีเพื่อนต่างเพศคนอื่น ติดตามไม่เปิดโอกาสให้เป็นตัวของตัวเอง และแสดงความก้าวร้าวรุนแรงเมื่อถูกปฏิเสธการล่วงเกิน) ให้เปิดเผยตรง ๆ ว่า เราไม่ได้ชอบแบบชู้สาว แต่เป็นเพื่อนได้
2. อย่าปล่อยให้สนิทสนมมาก เพราะจะยุติความสัมพันธ์ได้ยาก หากพบเห็นพฤติกรรมเบี่ยงเบนในเรื่องอื่น เช่น ชอบอวดอวัยวะเพศ ถ้ำมอง และเบียดเสียดถูไถ ขอให้ใช้ท่าทีเป็นปกติ และเลี่ยงไปจากเหตุการณ์โดยไม่ต้องมีปฏิกิริยาใด ๆ ก็เพียงพอแล้ว
3. อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศ เป็นเรื่องที่ยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง และยังไม่สามารถแก้ไขได้ เพียงเต่สามารถปรับพฤติกรรมภายนอกได้ เราควรปฏิบัติต่อผู้ที่มีพฤติกรรมทางเพศเยี่ยงบุคคลหนึ่ง ไม่ควรส่งเสริมหรือซ้ำเติม ซึ่งจะทำให้ชีวิตเขายุ่งยากมากยิ่งขึ้น
รักร่วมเพศ
เมื่อเข้าสู่วัยรุ่น ความสนใจเพศตรงข้ามจะเกิดขึ้น จะสังเกตใจตัวเองได้ว่าเริ่มสนใจดารา นักแสดง นักร้องหรือบุคคลที่มีชื่อเสียง บางครั้งจะเกิดจินตนาการทางเพศกับคนที่ชอบ ความสนใจนี้จะปะปนกับความรู้สึกทางเพศและจะมีกับเพศตรงข้าม ในเชิงชู้สาว ซึ่งจะแตกต่างจากความรู้สึกกับเพื่อนตามปกติความรู้สึกทางเพศเช่นนี้ จะเกิดขึ้นกับเพศเดียวกัน นั่นคืออาจมีความพอใจทางเพศกับเพศเดียวกัน มีความพอใจที่จะใกล้ชิดผูกพันเป็นคู่รักกับเพศเดียวกัน มีจินตนาการทางเพศที่จะสร้างอารมณ์เพศได้กับเพศเดียวกัน และบางครั้งอาจมีความสัมพันธ์ทางเพศกับเพศเดียวกันด้วย แบบนี้เรียกว่า “รักร่วมเพศ” ภาษาอังกฤษ เรียกว่า HOMOSEXUALรักร่วมเพศมีทั้งชายและหญิง
- ชอบ ชาย เรียกว่า เกย์ หรือ ตุ๊ด หญิง ชอบ หญิง เรียกว่า เลสเบี้ยน หรือ ทอม ดี้
- รักร่วมเพศทั้งสองเพศ จะมีความแตกต่างกันในรูปแบบปลีกย่อย เกย์ที่ชอบแสดงบทบาททางเพศเป็นชาย เรียกว่า เกย์คิง เกย์ที่ชอบแสดงบทบาทเป็นหญิง เรียกว่า เกย์ควีน เลสเบี้ยนที่ชอบแสดงบทบาทเป็นชายเรียกว่า ทอม เลสเบี้ยนที่ชอบแสดงบทบาทเป็นหญิง เรียกว่า ดี้ รักร่วมเพศไม่ใช่ความผิดปกติร้ายแรง พบได้บ่อยๆ ในเพศชายประมาณร้อยละ 10 ของผู้ชายทั้งหมด ในเพศหญิงประมาณร้อยละ 3-4 ของผู้หญิงทั้งหมด บางคนแสดงออกและเปิดเผยต่อสังคม บางคนไม่เปิดเผยและดูจากภายนอกก็ไม่มีทางทราบได้ (โดยเฉพาะเกย์คิง และดี้)คนที่เป็นรักร่วมเพศ สามารถปรับตัวให้เข้ากับชีวิตและสังคมได้ แต่ต้องมีการเตรียมตัว และสิ่งแวดล้อมต้องเข้าใจและให้ความช่วยเหลือบ้าง เนื่องจากในบางสังคมยังไม่ยอมรับรักร่วมเพศ มีการรังเกียจ หรือต่อต้าน ในโรงเรียนที่มีเด็กที่เป็นรักร่วมเพศ มักจะมีการล้อเลียน รังเกียจ ไม่ยอมรับให้เข้ากลุ่มเพื่อนปกติบางกลุ่ม ในสังคมยังมีการต่อต้านทำให้ไม่ได้รับการส่งเสริมในการทำงาน โดยเฉพาะรักร่วมเพศที่เปิดเผย และแสดงออกมาก จนบางครั้งเป็นความก้าวร้าวไม่เหมาะสม ทำให้ถูกต่อต้านรังเกียจมากขึ้น รักร่วมเพศจึงจะต้องเผชิญกับความเครียดในชีวิตค่อนข้างมากคนที่เป็นรักร่วมเพศแท้จริงนั้น พบว่าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เนื่องจากเขาไม่รู้สึกว่าตัวเองต้องการจะเปลี่ยน เป็นแบบนี้ก็มีความสุขดี ส่วนมากพ่อแม่มักจะพยายามบังคับโดยคิดว่าถ้าใช้ความรุนแรงกันเขาจะเปลี่ยนได้ ความจริงแล้วพบว่ากว่าเขาจะเป็นรักร่วมเพศนั้น มีการเปลี่ยนแปลงพัฒนามานานก่อนหน้านั้น บางตำราเชื่อว่าเป็นปัจจัยอยู่ในพันธุกรรม บางตำราเชื่อว่าเป็นผลจากการเลี้ยงดูที่ไม่ถูกต้อง เด็กไม่เลียนแบบเอกลักษณ์ทางเพศจากเพศเดียวกัน คือจากพ่อหรือแม่ บางตำราเชื่อว่าเป็นผลจากการเรียนรู้ บางคนถูกหลอกหรือล่อลวงไปมีเพศสัมพันธ์กับเพศเดียวกัน แล้วเกิดติดใจกลายเป็นรักร่วมเพศไป
- ชอบ ชาย เรียกว่า เกย์ หรือ ตุ๊ด หญิง ชอบ หญิง เรียกว่า เลสเบี้ยน หรือ ทอม ดี้
- รักร่วมเพศทั้งสองเพศ จะมีความแตกต่างกันในรูปแบบปลีกย่อย เกย์ที่ชอบแสดงบทบาททางเพศเป็นชาย เรียกว่า เกย์คิง เกย์ที่ชอบแสดงบทบาทเป็นหญิง เรียกว่า เกย์ควีน เลสเบี้ยนที่ชอบแสดงบทบาทเป็นชายเรียกว่า ทอม เลสเบี้ยนที่ชอบแสดงบทบาทเป็นหญิง เรียกว่า ดี้ รักร่วมเพศไม่ใช่ความผิดปกติร้ายแรง พบได้บ่อยๆ ในเพศชายประมาณร้อยละ 10 ของผู้ชายทั้งหมด ในเพศหญิงประมาณร้อยละ 3-4 ของผู้หญิงทั้งหมด บางคนแสดงออกและเปิดเผยต่อสังคม บางคนไม่เปิดเผยและดูจากภายนอกก็ไม่มีทางทราบได้ (โดยเฉพาะเกย์คิง และดี้)คนที่เป็นรักร่วมเพศ สามารถปรับตัวให้เข้ากับชีวิตและสังคมได้ แต่ต้องมีการเตรียมตัว และสิ่งแวดล้อมต้องเข้าใจและให้ความช่วยเหลือบ้าง เนื่องจากในบางสังคมยังไม่ยอมรับรักร่วมเพศ มีการรังเกียจ หรือต่อต้าน ในโรงเรียนที่มีเด็กที่เป็นรักร่วมเพศ มักจะมีการล้อเลียน รังเกียจ ไม่ยอมรับให้เข้ากลุ่มเพื่อนปกติบางกลุ่ม ในสังคมยังมีการต่อต้านทำให้ไม่ได้รับการส่งเสริมในการทำงาน โดยเฉพาะรักร่วมเพศที่เปิดเผย และแสดงออกมาก จนบางครั้งเป็นความก้าวร้าวไม่เหมาะสม ทำให้ถูกต่อต้านรังเกียจมากขึ้น รักร่วมเพศจึงจะต้องเผชิญกับความเครียดในชีวิตค่อนข้างมากคนที่เป็นรักร่วมเพศแท้จริงนั้น พบว่าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เนื่องจากเขาไม่รู้สึกว่าตัวเองต้องการจะเปลี่ยน เป็นแบบนี้ก็มีความสุขดี ส่วนมากพ่อแม่มักจะพยายามบังคับโดยคิดว่าถ้าใช้ความรุนแรงกันเขาจะเปลี่ยนได้ ความจริงแล้วพบว่ากว่าเขาจะเป็นรักร่วมเพศนั้น มีการเปลี่ยนแปลงพัฒนามานานก่อนหน้านั้น บางตำราเชื่อว่าเป็นปัจจัยอยู่ในพันธุกรรม บางตำราเชื่อว่าเป็นผลจากการเลี้ยงดูที่ไม่ถูกต้อง เด็กไม่เลียนแบบเอกลักษณ์ทางเพศจากเพศเดียวกัน คือจากพ่อหรือแม่ บางตำราเชื่อว่าเป็นผลจากการเรียนรู้ บางคนถูกหลอกหรือล่อลวงไปมีเพศสัมพันธ์กับเพศเดียวกัน แล้วเกิดติดใจกลายเป็นรักร่วมเพศไป
วิธีการปรับตัวที่ดีสำหรับคนที่เป็นรักร่วมเพศ
1. เปิดเผยเฉพาะคนที่เข้าใจ เช่น พ่อแม่ ครู หรือเพื่อน ที่ไม่รังเกียจให้ทุกคนเข้าใจตัวเอง และยอมรับในเอกลักษณ์ทางเพศแบบนี้ ให้เข้าใจว่าตนเองเปลี่ยนความชอบทางเพศไม่ได้
2. ปรับพฤติกรรมและการแสดงออกให้เหมาะสมเป็นที่ยอมรับได้ในครอบครัวและสังคม การแสดงออกมากเกินไป มักจะเป็นผลเสีย ทำให้คนอื่นรังเกียจและต่อต้าน พ่อแม่บางคนหงุดหงิดกับกิริยาท่าทางของลูกที่เป็นแบบนี้ ถึงจะเปลี่ยนให้ใจมาชอบเพศตรงข้ามไม่ได้ แต่ถ้ามีพฤติกรรมเรียบร้อย ไม่เปิดเผยมากพ่อแม่ยังรับได้
3. มีที่ปรึกษาเมื่อเกิดปัญหาในการปรับตัว เนื่องจากสภาพการเป็นรักร่วมเพศ จะต้องเจอกับอุปสรรคในสังคมมากมาย มีที่ปรึกษาที่ดี เช่น พ่อแม่ ครู หรือจิตแพทย์ ก็สามารถจะฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ ในชีวิตได้
4. หลีกเลี่ยงการสำส่อนทางเพศ ปัจจุบันพบว่าการมีเพศสัมพันธ์แบบสำส่อน จะเกิดอันตรายจากโรคติดเชื้อได้มาก โดยเฉพาะเชื้อโรคเอดส์ ซึ่งระบาดอยู่ในกลุ่มรักร่วมเพศ นอกจากนี้การไม่ควบคุมเรื่องเพศสัมพันธ์เลย จะเกิดปัญหาจากความหึงหวง ทะเลาะเบาะแว้งและทำร้ายร่างกายกันได้รุนแรง เนื่องจากสภาพอารมณ์ของคนที่เป็นรักร่วมเพศ มักจะก้าวร้าวรุนแรงได้มากเมื่อผิดหวังเรื่องเพศ
เมื่อเพศเดียวกันมาชอบจะทำอย่างไร
ในวัยรุ่นนั้นความสนิทสนมระหว่างเพศเดียวกันจะมีมาก เนื่องจากความสัมพันธ์เช่นนี้เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปมากกว่าการมีเพื่อนต่างเพศที่สนิทสนมกันมากๆ การมีเพื่อนสนิทเพศเดียวกันอาจทำให้มีโอกาสใกล้ชิดสนิทสนมกัน ไปไหนมาไหนด้วยกัน และทำกิจกรรมร่วมกันได้มาก จะสังเกตได้ว่าเพื่อนคนที่สนิทสนมด้วย อาจจะเป็นรักร่วมเพศและเขากำลังจะมาชอบเราฉันชู้สาว เมื่อเขามีพฤติกรรมต่อไปนี้
1. มีการจับเนื้อต้องตัว และพยายามเล้าโลมร่างกายผิดไปจากเพื่อนตามปกติ
2. มีอาการหึงหวง ไม่ยอมให้มีเพื่อนต่างเพศคนอื่น
2. มีอาการหึงหวง ไม่ยอมให้มีเพื่อนต่างเพศคนอื่น
3. ติดตามและไม่เปิดโอกาสให้เป็นตัวของตัวเองหรือมีเพื่อนคนอื่น
4. แสดงความก้าวร้าวรุนแรง เมื่อปฏิเสธการล่วงเกิน
4. แสดงความก้าวร้าวรุนแรง เมื่อปฏิเสธการล่วงเกิน
คนที่เป็นรักร่วมเพศนั้นมีลักษณะพอจะสังเกตได้ เช่น กิริยาท่าทาง การแต่งเนื้อแต่งตัว เสื้อผ้า กิจกรรมที่ชอบ มักจะไปในแนวทางเพศตรงข้าม แต่บางคนดูจากภายนอกก็ไม่สามารถบอกได้ ต้องถามดูตรงๆ จึงจะทราบได้ รักร่วมเพศจะชอบเพศเดียวกัน ไม่ได้ชอบรักร่วมเพศด้วยกันเอง แต่เขาอาจจับกลุ่มกันในหมู่ที่คล้ายๆ กันคนที่เป็นรักร่วมเพศ มักจะต้องเผชิญกับปัญหาต่างๆ ในสังคมอย่างมาก ต้องมีการปรับตัวอย่างสูง และบางครั้งต้องปกปิดสังคมการ ช่วยเหลือสามารถทำได้ โดยส่งเสริมให้เขาปรับตัวกับสิ่งแวดล้อมได้อย่ามีความสุข โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงให้เขากลับเป็นเหมือนคนปกติ การป้องกันการเป็นรักร่วมเพศ จึงมีความสำคัญมากกว่า โดยการส่งเสริมการเลี้ยงดูเด็กให้ถูกต้องตาเพศที่แท้จริงและมีพื้นฐานความ สัมพันธ์ที่ดีระหว่างพ่อและแม่กับลูกนั่นเอง
ความหมายของ “พฤติกรรมผิดปกติทางเพศ” คือ ลักษณะของคนที่มีความรู้สึกทางเพศ ทัศนคติ ค่านิยม และพฤติกรรมทางเพศที่แสดงออกอย่างไม่เหมาะสม เบี่ยงเบนไปจากสามัญชนในสังคมนั้นพึงปฏิบัติ ความเบี่ยงเบนดังกล่าวเกิดเนื่องจากความผิดปกติของสภาพจิตใจที่บุคคลนั้นไม่สามารถควบคุมตนเองได้ ความเบี่ยงเบนทางเพศ (Sexual Deviation) จึงมีมากมายหลายชนิด บางชนิดขัดต่อศีลธรรมของสังคม และบางประเภทมีความรุนแรงถึงอาจก่ออาชญากรรมทางเพศได้ อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมผิดปกติทางเพศ หรือความเบี่ยงเบนทางเพศของสังคมหนึ่งอาจไม่ใช่เป็นสิ่งที่ผิดปกติ หรือเบี่ยงเบนสำหรับสังคมอื่นก็ได้ หรือแม้แต่ในสังคมเดียวกัน แต่ต่างกาลเวลาความหมายของพฤติกรรมทางเพศอาจเปลี่ยนไปได้ สังคมจึงมีส่วนสำคัญที่จะตีตราว่าพฤติกรรมใดผิดปกติหรือไม่ผิดปกติ เนื่องจากความหมายของพฤติกรรมทางเพศ มีลักษณะลื่นไหลเปลี่ยนแปลงตามค่านิยมของสังคม การตีตราพฤติกรรมทางเพศพฤติกรรมใดพฤติกรรมหนึ่งว่าผิดปกติหรือเบี่ยงเบน เนื่องจากพฤติกรรมเหล่านั้นเป็นสิ่งที่นิยมโดยคนจำนวนน้อยของสังคม น่าจะเป็นการไม่ยุติธรรมนัก และเพื่อความเข้าใจถึงความแตกต่างของพฤติกรรมทางเพศเหล่านั้น ผู้ศึกษาพฤติกรรมทางเพศน่าจะมองสิ่งเหล่านั้นเป็น “ความหลากหลายของพฤติกรรมทางเพศ” (Sexual variation) ที่ปรากฏในสังคม ซึ่งอาจแบ่งได้ 20 ชนิด ดังนี้
1. การร่วมเพศทางปาก (Oral love หรือ Oral sex)
การร่วมเพศทางปาก หรือ โอรัลเซ็กส์ เป็นการใช้ปากกระตุ้นอวัยวะเพศ เพื่อให้เกิดอารมณ์เพศ ซึ่งมี3 รูปแบบ
1.1 เฟลลาชิโอ (Fellatio) คือ การใช้ปาก ริมฝีปาก ลิ้น หรือฟัน กระตุ้นองคชาต (Penis) เพื่อให้ความสุขทางเพศ อาจจะเป็นหญิงทำให้ชาย หรือชายทำให้ชายก็ได้ (Hirsch, E. et al. 1994). คำว่าfellatio แปลว่า ดูด พฤติกรรมทางเพศแบบเฟลลาชิโอนั้น เป็นที่รู้จักกันแพร่หลายนานตั้งแต่สมัยโบราณ บางสังคมและบางศาสนาถือว่าการมีเพศสัมพันธ์แบบเฟลลาชิโอเป็นความลามกวิตถาร ในปัจจุบัน พฤติกรรมทางเพศแบบ เฟลลาชิโอ (fellatio) มีการปฏิบัติกันแพร่หลาย ส่วนในประเทศไทยนั้น การร่วมเพศแบบนี้เป็นที่นิยมในกลุ่มรักร่วมเพศ และในสถานบริการทางเพศ เช่น อาบอบนวด อาจมีชื่อเรียกต่างๆ กัน เช่น สเปร์ (spray) สโมก (smoke) เป็นต้น
1.2 คันนิลิงกัส (Cunnilingus) คือ การใช้ปาก ริมฝีปาก ลิ้น และฟัน กระตุ้นอวัยวะเพศหญิง ซึ่งเป็นชายทำให้หญิง หรือหญิงทำให้หญิงก็ได้ วิธีนี้เป็นการทำให้ผู้หญิงมีความสุขทางเพศได้โดยไม่ต้องอาศัยอวัยวะเพศชาย จากการศึกษาในอเมริกา พบว่าผู้หญิงอเมริกันร้อยละ 50 มีประสบการณ์ทางเพศแบบเลียอวัยวะเพศหญิง (cunnilingus) และการมีพฤติกรรมทางเพศแบบนี้ทำให้ผู้หญิงบรรลุถึงจุดสุดยอด (orgasm) แต่มีข้อควรระวังเพราะเคยมีรายงานว่าหญิงเสียชีวิตหลายรายจากฟองอากาศอุดตันเส้นเลือด (airembolism) เพราะการใช้ปากเป่าลมเข้าในช่องคลอดขณะที่ทำการเลียอวัยวะเพศหญิง (cunnilingus)
1.3 ซูเซ็นนูฟ (Soixante–neuf) เป็นการร่วมเพศโดยที่ชายและหญิงนอนหัวกลับกัน หรือจะนอนตะแคงทั้งคู่หรือคนหนึ่งอยู่เหนืออีกคนหนึ่งก็ได้ โดยให้อวัยวะเพศของฝ่ายหนึ่งตรงกับปากของอีกฝ่ายหนึ่งแบบตัวเลข 69 ให้สะดวกในการทำเฟลลาชิโอ (fellatio) และคันนิลิงกัส (cunnilingus) ให้กันและกัน
2. การร่วมเพศทางทวารหนัก (Sodomy)
การร่วมเพศทางทวารหนัก โดยที่ชายสอดใส่องคชาตเข้าไปในทวารหนักของหญิงหรือชาย ในปัจจุบันรัฐส่วนใหญ่ในอเมริกายังถือว่าการร่วมเพศทางทวารหนักเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายและมีบทลงโทษด้วย ส่วนในประเทศไทย การร่วมเพศทางทวารหนัก เป็นที่นิยมในกลุ่มชายรักร่วมเพศ (homosexuals) และแบบทั้งสองเพศ (bisexuals) ซึ่งมักจะเรียกว่า “อัดถั่วดำ” หรือเมื่อตั้งแต่ปี พ.ศ. 2541เป็นต้นมา คำว่า “ตุ๋ย” ได้ถูกนำมาใช้เรียกการร่วมเพศทางทวารหนักด้วย โดยสื่อมวลชนบัญญัติศัพท์จากชื่อเล่นของชายหนุ่มคนหนึ่งที่ถูกกล่าวหาว่าเคยใช้บริการทางเพศจากเด็กชายหลายคน
3. การรักร่วมเพศ (Homosexuality)
การรักร่วมเพศ คือ การมีความสุขทางเพศกับคนในเพศเดียวกัน ถ้าเป็นชายต่อชายมักเรียกว่า homosexuality โดยคนทั่วไปเรียกว่า Gay คนที่เป็นผู้แสดงหรือเป็นผู้กระทำเรียกว่าเกย์คิง ส่วนคนที่เป็นผู้ถูกกระทำเรียกว่าเกย์ควีน คนที่เป็นเกย์มักจะชอบเข้าข้างหลัง (sexual anlism) บางคนที่ชอบทำแบบนี้อาจเป็นเพราะตอนเด็ก ถูกห้ามไม่ให้จับต้องอวัยวะเพศ ถือว่าเป็นของต่ำหรือสกปรก ดังนั้นจึงต้องใช้สิ่งอื่นทดแทน อาจเกิดขึ้นสำหรับคู่ระหว่างชายกับหญิงได้ด้วย ส่วนหญิงต่อหญิงเรียก lesbianism หญิงที่กระทำตนเป็นชายนั้นเรียกว่า ทอม (Tom) และจะมีคู่ที่เรียกว่า ดี้ ซึ่งมาจากคำว่า Lady หากบุคคลใดที่สามารถมีความสุขทางเพศทั้งกับเพศเดียวกันและกับเพศตรงข้ามกัน จะเรียกว่า bisexuality โดยส่วนใหญ่พวกรักร่วมเพศนี้แบ่งออกเป็น 3 ลักษณะ คือ รุก รับ และทั้งสองแบบ ส่วนมากที่พบจะเป็นพวกที่ 3สาเหตุ มีอยู่หลายประการ อาจเป็นเพราะความผิดปกติทางฮอร์โมน สิ่งแวดล้อมทางสังคม เช่น การบังเอิญเกิดไปมีเพศสัมพันธ์กับเพศเดียวกันขึ้นมาแล้วติดใจ หรือ อยู่กับคนเพศเดียวกันมานาน เช่น ในคุก ร.ร ประจำ เป็นต้น อีกสาเหตุที่สำคัญ คือการเลี้ยงดูของครอบครัว โดยทั่วไปมักพบว่า มารดาไม่มีความสุขในชีวิตสมรส หรือสนิทกับลูกชายเป็นพิเศษ พอเด็กโตขึ้นมา ก็เลยไม่อยากมีอะไรกับ ญ ซึ่งเป็นเพศเดียวกับมารดา เด็กชายบางคน อาจเกิดความรู้สึกกับมารดา ต่อมาเกิดความรู้สึกละอาย จึงหลีกเลี่ยงการมีความสัมพันธ์ทางเพศกับหญิงทุกคน เพราะคิดว่าการไปมีอะไรกับหญิงอื่น เป็นการนอกใจมารดา อีกประการคือ เด็กชายที่เกลียดเพศของตนเอง อยากเกิดเป็นเพศตรงข้าม คือ พ่ออาจรักแต่ลูกสาว ไม่สนใจตัวเอง หรือ พ่อเป็นคนเข้มงวด เจ้าระเบียบเกินไป ทำให้ลูกเกลียดพ่อ และเกลียดเพศตัวเองไปด้วย สิ่งที่ทำให้คนกลายเป็นพวกรักร่วมเพศได้มากที่สุด คือการเลี้ยงดูของครอบครัว ช่วงหนึ่งของชีวิตวัยเด็ก เรียกว่า ระยะโอดิปัส (oedipus period) คือ เด็กจะรักพ่อหรือแม่ซึ่งเป็นเพศตรงข้ามกับตน เลยทำให้เกิดความรู้สึกว่าตนเองต้องแข่งขันความเป็นพ่อหรือแม่ของตน แต่ความรู้สึกนี้จะทำให้เกิดความไม่สบายใจ กลัวว่า พ่อหรือแม่ซึ่งเป็นเพศเดียวกันกับตน จะลงโทษ หากเด็กไม่สามารถทำความเข้าใจได้ โตมาก็จะกลายเป็นพวกรักร่วมเพศ นอนกจากนี้ ยังรวมไปถึง ค่านิยม ทัศนคติ ความเชื่อ ความเข้าใจผิดต่างๆ ทำให้คนกลัวที่จะมีอะไรกับฝ่ายตรงข้าม จึงหันมาสนใจพวกเพศเดียวกัน
พฤติกรรมแบบรักร่วมเพศ (homosexuality) นั้นมีมานานตั้งแต่ก่อนประวัติศาสตร์ ซึ่งปรากฏเป็นหลักฐานภาพวาดในถ้ำของมนุษย์หิน ภาพสลักในหิน ภาพสลักบนแผ่นโลหะ ในสมัยอียิปต์ กรีก และโรมัน พฤติกรรมแบบรักร่วมเพศยังถือว่าเป็นเรื่องผิดกฎหมายอยู่ในหลายประเทศ ส่วนในประเทศไทย การร่วมประเวณีผิดธรรมชาติมนุษย์กับคนเพศเดียวกัน หรือกับสัตว์เดียรฉาน ถือเป็นความผิดมีโทษจำคุก 3 เดือน ถึง 3 ปี ปรับ 50-500 บาท แต่ในปัจจุบันตามประมวลกฎหมายอาญาไม่มีบทบัญญัติเรื่องนี้ เพราะถือเป็นเสรีภาพส่วนบุคคลเป็นเรื่องในมุ้ง ถ้าเขาสมัครใจจะทำอะไรกับคนเพศเดียวกัน ไม่ทำให้ใครเดือดร้อนก็ไม่ถือว่าเป็นความผิด
4. ความสุขทางเพศกับส่วนของร่างกายหรือวัตถุ (Fetishism)
พฤติกรรมแบบเฟติสชิสึม (fetishism) เป็นความสุขความต้องการทางเพศที่เกิดจากการได้ใช้วัตถุที่เป็นสัญลักษณ์ทางเพศ หรือส่วนของร่างกายที่ไม่ใช่อวัยวะทางเพศโดยตรงของเพศตรงข้าม เช่น ชุดชั้นใน กระโปรง หมวก รองเท้า ถุงมือ หรือผม ต้นขา เท้า หู ตา โดยการจับ จ้องมอง หรือ ช่วยให้สำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง และสามารถถึงจุดสุดยอดได้ด้วยการสัมผัส กอดจูบ หรือการสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเองกับสิ่งของเหล่านั้น ส่วนใหญ่พบพฤติกรรมแบบเฟติสชิสึม (fetishism) ในเพศชายเท่านั้นในผู้หญิงมักจะเป็นแบบเคลบโตแมนเนีย (kleptomania) คือภาวะที่ได้รับความตื่นเต้นพอใจจากการได้ขโมยทรัพย์สินของผู้อื่นส่วนพฤติกรรมแบบพิกมาเลี่ยนนิสึม (pygmalionism) เป็นภาวะที่บุคคลมีความสุขทางเพศกับตุ๊กตายางขนาดเท่าคนจริง
5. การลักเพศ (Transvestism)
การลักเพศ หมายถึง การมีความสุขความพอใจทางเพศจากการได้แต่งตัว แต่งหน้า สวมเสื้อผ้าหรือแสดงท่าทางของเพศตรงข้ามกับตน เช่น ชายที่แต่งตัวเป็นหญิง หรือหญิงแต่งตัวเป็นชาย ซึ่งอาจเป็นไปอย่างเปิดเผยหรือแอบซ่อนก็ได้ การแต่งตัวเป็นเพศตรงข้ามจะทำให้ได้รับความตื่นเต้น หรือมีอารมณ์ทางเพศจากการกระทำเช่นนั้น อาจมีทั้งลักษณะเป็นแบบชั่วคราวหรือถาวรก็ได้ สาเหตุมักมาจากการเลี้ยงดูสมัยเด็ก กรณีพ่อแม่อยากได้ลูกชาย แต่ลูกเกิดมาเป็นผู้หญิง เลยให้แต่งตัวเป็นเด็กชาย หรือ แต่งตัวลูกชายด้วยเสื้อผ้าของเด็กผู้หญิง เป็นต้น บุคคลประเภทนี้สามารถแต่งงานและมีความสุขได้หากมีคู่สมรสที่เข้าใจ
6. การแปลงเพศ (Transexuality)
การแปลงเพศ คือ ภาวะทางเพศที่บุคคลไม่ยอมรับเพศที่แท้จริงโดยกำเนิดของตนเองและใช้ชีวิต แต่งตัว และมีพฤติกรรมหรือบทบาทของเพศตรงข้ามกับลักษณะเพศทางร่างกายของตนเองตลอดเวลา เพราะมีความฝังใจว่าอารมณ์และจิตใจของเขาเป็นเพศตรงข้ามกับร่างกายและอวัยวะเพศในร่างกาย นอกจากนั้นยังมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะต้องการผ่าตัดเปลี่ยนเพศเป็นเพศตรงข้าม
7. ซาดิสสึมและมาโซคิสสึม (Sadism and masochism) การชอบสร้างความเจ็บปวดและชอบรับความเจ็บปวด
ซาดิสสึม (Sadism) หมายถึง การมีความสุข ความตื่นเต้น พอใจทางเพศจากการทำให้คู่ร่วมเพศเกิดความเจ็บปวดทรมานทางร่างกายและหรือทางด้านจิตใจ เช่น การตี โบย หรือใช้อาวุธของมีคมกรีดทำให้เกิดบาดแผล หรือการใช้คำพูด เสียดสี ดูถูกเหยียดหยามคู่ร่วมเพศ เป็นต้น สาเหตุที่ชอบความรุนแรงอาจมาจาก ถูกอบรมมาว่าเรื่องทางเพศเป็น สิ่งน่ารังเกียจ สกปรก เป็นบาป ฯลฯ ดังนั้นจึงต้องหาทางปลดปล่อยความโกรธแค้น ที่ตนจะต้องมาทำบาป หรือทำสิ่งน่ารักเกียจ ด้วยการลงโทษคู่นอนแทนที่จะลงโทษตัวเอง บางคนอาจเป็นเพราะว่าตัวเองมีความเกลียดชัง พ่อ แม่ ตั้งแต่เด็กๆ และมีบางคนที่ชอบความรุนแรงโดยไม่มีสาเหตุอีกด้วย
มาโซคิสสึม (Masochism) เป็นความสุข ความตื่นเต้น พอใจทางเพศจากการได้รับความเจ็บปวดทรมาน หรือความอัปยศอดสู ดูถูกเหยียดหยามจากคู่ร่วมเพศ นัก จิตวิทยาบางคนบอกว่าการที่คนเหล่านี้ ยอมถูกทารุณกรรมจากคู่นอน อาจมิใช่เพราะต้องการ แต่ที่ยอมก็เพราะต้องการเอาใจฝ่ายตรงข้าม เกรงว่าตนจะถูกทอดทิ้ง
แฟลกเจลเลชั่น (Flagellation) คือการเฆี่ยนด้วยไม้ หรือแส้ ให้เกิดความเจ็บปวดเพื่อความสุขทางเพศ เช่น คนที่เป็นซาดิสท์ (Sadist) เฆี่ยนตีคนที่เป็นมาโซคิสท์ (Masochist) ก่อนการมีเพศสัมพันธ์ จากการศึกษารายงานว่าชายร้อยละ 10 และหญิงร้อยละ 3 มีความรู้สึกทางเพศเมื่อถูกกระตุ้นโดยได้ฟังเรื่องแบบซาโดมาโซคิสสึม (Sadomasochism)
กาม วิตถาร ทั้ง 2 ประเภทนี้ (sadism+maso)อาจเกิดขึ้นในคนคนเดียวกัน ในขณะเดียวกันหรือคนละคราวก็ได้ จึงรวมเรียกว่า (Sadomasochism)ทั้งซาดิสสึมและมาโซคิสสึม แม้ฟังดูแล้วอาจเหมือนเป็นสิ่งทารุณโหดร้าย แต่พวกมาโซฯ และซาดิส ไม่เคยทำร้ายผู้อื่น หรือ ได้รับการทารุณจนเกิดอันตรายต่อตัวเอง การเข้าใจบุคคลทั้ง 2 ประเภท มักจะจำมาจากการพบเห็นในหนังหรือโทรทัศน์เสียมากเกินความเป็นจริง
8. เอ็กฮิบิชั่นนิซึม (Exhibitionism) การชอบอวดอวัยวะเพศ
พฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศชนิดชอบอวดอวัยวะเพศ เรียกว่า exhibitionism มักเริ่มต้นเป็นตั้งแต่วัยรุ่นตอนต้น แต่จะปรากฏอาการชัดเจนในวัยรุ่นตอนปลายถึงผู้ใหญ่ตอนต้น และโดยทั่วไปอาการจะเป็นเรื้อรัง สาเหตุที่แน่นอนยังไม่ทราบแน่ชัด แต่มีข้อสันนิษฐานของโรคต่างๆกัน เช่น ผู้ป่วยถูกประทุษร้ายในวัยเด็ก เป็นอาการทางระบบประสาท เกิดจากความผิดปกติของสารเคมีในสมองที่เป็นสารสื่อประสาท หรือในบางรายพบว่าเป็นลักษณะหนึ่งของโรคย้ำคิด ย้ำทำ อาการของผู้ป่วยจะเป็นมากขึ้นเวลาเครียด หรือมีช่องทางและโอกาสที่จะแสดงพฤติกรรมได้โดยง่าย
ลักษณะที่สำคัญของโรคนี้ คือ ผู้ป่วยมีความสุข และความตื่นเต้นจากการได้เปิดเผยอวัยวะเพศของตนเองให้คนแปลกหน้าดู ผู้ป่วยจงใจเปิดเผยอวัยวะเพศของตนให้คนแปลกหน้าเห็นและเกิดความตกใจ โดยไม่มีการข่มขู่ ผู้เคราะห์ร้ายโดยมากเป็นเด็กหญิงวัยเยาว์ ผู้ป่วยจะไปสถานที่เดิมๆ ซึ่งอาจเป็นสถานที่เปลี่ยว หรือสถานีขนส่งมวลชน เมื่อได้เห็นภาพเด็กตกใจกลัว ผู้ป่วยจะรู้สึกสบายใจ บางรายทำการสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองไปด้วยพร้อมๆ กัน บุคลิกภาพของผู้ป่วยมักเป็นแบบเก็บกดความรู้สึก และมีความรู้สึกฝังใจว่าตนไม่มีความเป็นผู้ชาย ดูจากภายนอกจะเป็นคนเรียบร้อย ระมัดระวัง ประหม่าง่าย บางรายเป็นคนอ่อนโยน ทำงานจริงจัง มีความเป็นอยู่ปกติ เป็นผู้มีชื่อเสียง และประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ปัญหาบุคลิกภาพจึงเป็นเรื่องสำคัญในผู้ป่วยกลุ่มนี้
9. วอยริสซึม (Voyeurism)
การชอบถ้ำมอง หมายถึงการมีความสุข ความพอใจทางเพศจากการแอบดูร่างเปลือย หรือการร่วมเพศของคนอื่น อาจมีได้ทั้งเพศหญิงและเพศชาย แต่ส่วนใหญ่พบในผู้ชายและมักจะเป็นวัยรุ่นหรือหนุ่มสาวมากกว่า โดยจะแอบดูตามรูห้องน้ำ ห้องส้วม ห้องนอนตามบ้าน หรือเจาะรูตามฝาผนังห้องน้ำ เมื่อได้แอบดูสมความตั้งใจแล้วจะเกิดความรู้สึกทางเพศอย่างรุนแรง และมักสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเองขณะแอบดู รูปแบบของถ้ำมองมี 3 ประเภทได้แก่
ชอบถ้ำมอง (scoptoplilia) คนพวกนี้มีพฤติกรรมผิดปกติ ชอบแอบดูเวลาผู้อื่นมีเพศสัมพันธ์กัน แม้แต่ชอบแอบดูคนแก้ผ้า อาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า เพราะทำแล้วจะมีความสุข ส่วนใหญ่มักเป็นผู้ชาย สาเหตุอาจมาจากเมื่อสมัยเด็กเคยแอบเห็นพ่อกับแม่มีอะไรกัน หรือเห็นพี่สาวพี่ชายเปลือยกายอาบน้ำ เปลี่ยนเสือ้ผ้า บุคคลกลุ่มนี้มีลักษณะคล้ายกับพวกชอบโชว์ แต่ตรงข้ามกันคือ ชอบแอบดูคนอื่น
ชอบเปลือย(trolism) พวกนี้มักเป็นพวกต่อต้านสังคม อาจะเคยเห็นพวกที่ แก้ผ้าประท้วง พวกเค้าไม่ต้องการตกอยู่ภายใต้กฏเกณฑ์บางอย่าง หรือ ทำแล้วรู้สึกว่าตนเองมีอิสระเสรีภาพ ต่างประเทศจะมีพวกนิคมอาบแดด หรือ สถานที่สำหรับเปลือยกายเพื่อบุคคลประเภทนี้ และก็มีหลายคนอ้างว่าการเปลือยกายจะทำให้การมีเพศสัมพันธ์มีความสุขมากขึ้น
พวกชอบให้ผู้อื่นดูตนเองมีเพศสัมพันธ์กับคนอื่น พวกนี้จะชอบให้บุคคลที่ 3 เฝ้าดูขณะที่ตนเองกำลังมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอน บางครั้งให้ดูเฉยๆ แต่ส่วนมากจะให้เข้าร่วมด้วย จิตแพทย์บอกว่าคนประเภทนี้มีความผิดปกติ 2 แบบ อยู่ในตัวเอง คือ ชอบแอบดูคนอื่น และชอบที่จะให้คนอื่นแอบ
10. โฟรเทริสซึม (Frotteurism)
การชอบถูอวัยวะเพศกับเพศตรงข้าม (Frotteurism) หมายถึงการมีความสุขความพอใจทางเพศ ด้วยการเบียด เสียดสี หรือถูไถกับร่างกายคนอื่น พบในชายมากกว่าหญิง เกิดขึ้นในขณะที่มีคนเบียดกันหนาแน่น เช่น งานวัด ตลาดนัด บนรถเมล์ ในลิฟท์ การกระทำดังกล่าวอาจทำให้เกิดความรู้สึกทางเพศรุนแรงจนสำเร็จความใคร่ได้
11. อินเซสต์ (Incest)
การมีเพศสัมพันธ์กับสมาชิกในครอบครัว (Incest) คือการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในครอบครัว หรือสายเลือดเดียวกัน เช่น ระหว่างพ่อกับลูกสาว แม่กับลูกชาย พี่ชายกับน้องสาว พี่สาวกับน้องชาย เป็นต้น ส่วนพฤติกรรมรักร่วมเพศในสายเลือด (Homosexual incest) คือการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกเพศเดียวกัน ในครอบครัวที่สืบสายเลือดเดียวกันระหว่างพ่อกับลูกชาย พี่ชายกับน้องชาย แม่กับลูกสาว พี่สาวกับน้องสาว
12. เพดโดฟิเลีย (Pedophilia)
ความต้องการทางเพศกับเด็ก (Pedophilia) เป็นภาวะของคนที่ได้รับความสุข ความพอใจทางเพศกับเด็ก ที่เป็นเพศเดียวกันหรือต่างเพศก็ได้ ซึ่งจะพบในชายมากกว่าหญิง ผู้ชายที่เป็นเพ็ดโดฟิเลีย (Pedophilia) มักเป็นผู้มีปมด้อย ไม่ชอบหรือไม่สามารถมีความสุขทางเพศกับหญิงสาวได้ แต่มีความรู้สึกทางเพศกับเด็ก ๆ ที่ไร้เดียงสาที่มีอายุต่ำกว่า 12 ปี จะไม่ทำอันตรายต่อเด็ก มักจะล่อเด็กด้วยเงินหรือขนมตลอดจนของเล่นจนเด็กสนิทสนมด้วย จึงจับหรือลูบคลำอวัยวะเพศเด็ก หรือให้เด็กทำสำเร็จความใคร่ (masturbate) หรือเอาองคชาติของตัวเองถูไถภายนอกของอวัยวะเด็กจนสำเร็จความใคร่ หรือบางรายอาจจะมีการข่มขืนกระทำชำเรา หรือฆ่าปิดปากถ้ามีการขัดขืนผู้ป่วยมักมีความเชื่อในเรื่องของพรมจรรย์ ชอบดูถูกเพศหญิง อยากมีอะไรกับหญิงบริสุทธิ์เท่านั้น ซึ่งเป็นเด็กวัย 11-12 บางคนอาจมีความเชื่อว่าการมีอะไรกับเด็ก หรือสาวบริสุทธิ์ จะทำให้อายุยืน สำหรับเด็กที่เป็นเหยื่อไม่ว่าจะสมัครใจหรือไม่ มักเป็นเด็กที่มีปัญหาทางบ้าน เช่น พ่อแม่เลิกกัน หรือเป็นเด็กที่มีปัญหาทางจิต พวกขี้กลัว ตกใจง่าย ต้องการผู้ให้ความคุ้มครอง ความอบอุ่น ฯลฯ
13. เจอรอนโตฟิเลีย (Gerontophilia)
ความต้องการทางเพศกับคนแก่ (Gerontophilia) เป็นภาวะที่คนต้องการได้รับความสุข ความพอใจทางเพศกับคนสูงอายุ หรือคนแก่ ความผิดปกตินี้อาจเป็นผลมาจากความผูกพันทางอารมณ์กับปู่ย่า ตายาย หรือเกิดจากการมีบิดามารดาเป็นคนสูงอายุ อย่างไรก็ดีการแต่งงานระหว่างคนสูงอายุกับคนอายุน้อยอาจไม่ใช่ความวิปริตทางเพศ แต่เกิดขึ้นเพราะเหตุผลทางเศรษฐกิจก็เป็นได้
14. เซเตอเลียซีส (Satyriasis)
ภาวะชายตัณหาจัด (Satyriasis) หมายถึง ภาวะที่ชายมีความต้อการทางเพศสูงมากจนไม่สามารถยับยั้งควบคุมอารมณ์เพศของตนได้ มีความต้องการทางเพศอยู่ตลอดเวลา
15. นิมโฟเมเนีย (Nymphomania)
ภาวะหญิงตัณหาจัด (Nymphomania) หมายถึง ภาวะที่หญิงมีความต้องการทางเพศสูงมากจนไม่สามารถยับยั้งควบคุมอารมณ์เพศของตนเองได้ มีความต้องการทางเพศอยู่ตลอดเวลา บางครั้งสามารถมีอะไรกับชายได้หลายคน หลายครั้งติดต่อกัน สาเหตุอาจมาจากต้องการชดเชยความต้องการทางเพศของตน ซึ่งได้รับไม่เพียงพอเมื่อตอนที่เป็นวัยรุ่น หรือต้องการผ่อนคลายความตึงเครียดทางจิต หรืออาจกลัวว่าตนจะเป็นพวกกามตายด้าน รวมทั้งสมัยเด็กมีความเกลียดชังบิดา เลยต้องการแก้แค้นเพศตรงข้าม เป็นพฤติกรรมของคนที่มีสภาวะไม่ได้รับความรักที่สมบูรณ์ หรือมีความผิดปกติทางร่างกาย
16. ค็อพโพรเลเลีย (Coprolalia) โทรศัพทย์ลามก
การพูดลามก (Coprolalia) คำว่า coprolalia มาจากภาษากรีกว่า kopros แปลว่า อุจจาระ และlalia แปลว่า พูด ดังนั้น coprolalia หมายถึง การที่มีความสุขความพอใจทางเพศจากการได้พูดเรื่องลามกอนาจารให้เพศตรงข้ามฟัง โดยไม่สามารถควบคุมตนเองได้ จะพบในชายมากกว่าผู้หญิง ซึ่งอาจจะโทรศัพท์แล้วพูดลามก หรือขอร่วมเพศ หยาบคาย อนาจาร และมักจะสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองขณะพูดโทรศัพท์ด้วย การโทรศัพท์ที่ทำโดยชายเป็นส่วนใหญ่ก็เพื่อจะทำให้ตกใจและสร้างความรำคาญให้แก่เรา และบ่อยครั้งเป็นความสนุกสนาน แต่ที่กระทำโดยความจงใจเพราะความกดดันทางเพศ การได้รับโทรศัพท์ลามกอาจทำให้ตกใจและรำคาญ แต่ผู้กระทำก็มักใช้วิธีโทรศัพท์อย่างเดียวโดยไม่ติดต่อกับผู้รับด้วยวิธีอื่นผู้ชายบางคนไม่กล้าพูดคุยกับผู้หญิง เพราะรู้สึกว่าตัวเองไม่ดีพอหรือไม่มีความสามารถที่จะทำให้ผู้หญิงคนใดสนใจในตัวเขา ดังนั้นเขาจึงอาจใช้วิธีพูดโทรศัพท์ลามกกับผู้หญิงที่เขาสนใจ ซึ่งอาจเป็นผู้หญิงที่ทำงานแห่งเดียวกันหรือคนที่เห็นกันบ่อยๆ เช่น เพื่อนบ้าน แต่ถ้าไม่มีผู้หญิงคนใดที่เขาสนใจเป็นพิเศษ เขาอาจโทรศัพท์ถึงผู้หญิงคนใดคนหนึ่งที่เขาค้นพบเลขหมายจากสมุดโทรศัพท์
17. ค็อพโรฟิลเลียหรือ ค็อพโรแล็กเนีย (Coprophilia หรือ Coprolagnia)
เวจกาม (Coprophilia หรือ Coprolagnia) หมายถึง ภาวะที่คนได้รับความสุข ความพอใจทางเพศ โดยมีอุจจาระเป็นองค์ประกอบ เช่น การถ่ายอุจจาระบนร่างของคู่ร่วมเพศ หรือให้คู่ร่วมเพศถ่ายอุจจาระบนร่างของตน หรือ อาจกินอุจจาระ (Coprophagia) ของคู่ร่วมเพศด้วย ด้วยความรู้สึกบูชานับถือ การกระทำเช่นนี้มีอันตรายต่อสุขภาพกายด้วยยังไม่ทราบสาเหตุหรือแรงจูงใจที่แน่ชัดของผู้ป่วย สันนิษฐานว่าอาจมีรากฐานมาจากการที่ทวารหนักเป็นช่องที่อยู่ใกล้กับอวัยวะเพศ และมีประสาทที่ไวต่อการสัมผัส จึงอาจดึงดูดใจทางเพศ และสำหรับคนบางคนส่งที่ออกมาจากทวารหนักก็พลอยดึงดูดใจทางเพศไปด้วย เหตุผลอีกประการหนึ่งคือ อุจจาระของคนถือว่าเป็นสิ่งสกปรก และการล้างอุจจาระเป็นหน้าที่ของคนที่ต่ำกว่า ดังนั้นคนที่ชอบทำร้ายตนเองหรือให้ผู้อื่นทำร้ายเพื่อความ สุขทางเพศอาจพอใจที่จะกระทำสิ่งเหล่านี้ การชำระล้างอุจจาระหรือทาร่างกายด้วยอุจจาระจะทำให้คนพวกนี้ รู้สึกว่าตนเองต่ำและอัปยศพร้อมกับมีความสุขทางเพศ
18. ยูโรแล็กเนีย (Urolagnia)
ปัสสาวะกาม (Urolagnia) หมายถึง ภาวะที่คนได้รับความสุขทางเพศโดยมีปัสสาวะเป็นองค์ประกอบ เช่น การถ่ายปัสสาวะบนร่างของคู่ร่วมเพศ หรือให้คู่ร่วมเพศปัสสาวะบนร่างตนการพอใจในปัสสาวะอาจมาจากรากฐานที่ว่า การถ่ายปัสสาวะเกี่ยวข้องกับอวัยวะเพศ และเป็นการกระทำที่เป็นส่วนตัว ดังนั้นการกระทำดังกล่าวของคู่นอนจึงอาจทำให้ตื่นเต้นทางเพศ หรือมิฉะนั้นก็อาจเกี่ยวข้องกับชีวเคมีเช่นเดียวกับในสัตว์ กล่าวคือ กลิ่นน้ำปัสสาวะของสัตว์จะดึงดูดคู่ของมันให้มาหา อีกประการหนึ่งปัญหานี้อาจเป็นผลของการติดแน่นอยู่กับการพัฒนาทางบุคลิกภาพในวัยเด็ก ซึ่งมีช่วงอายุหนึ่งที่เด็กจะพอใจการเล่นเกมส์ที่เกี่ยวกับปัสสาวะ เช่น เด็กชายอาจแข่งขันกันว่าใครจะปัสสาวะได้สูงหรือไกลที่สุด และอาจพอใจที่สามารถแอบดูผู้หญิงปัสสาวะได้ หรือเกิดจากความพอใจในจิตไร้สำนึกที่จะทำให้ตัวเองต่ำทราม เหมือนกับพวกเมโซคิส์ม
19. เน็คโรฟิลเลีย (Necrophilia)
การชอบมีเพศสัมพันธ์กับศพ (Necrophilia) หมายถึง ภาวะที่คนได้รับความสุขความพอใจทางเพศจากการได้ร่วมเพศกับซากศพ พวกนี้มักจะทำงานที่เกี่ยวกับศพ บางคนอาจมีความต้องการร่วมเพศกับศพที่ตายใหม่ ๆ จึงฆ่าเหยื่อของตนให้ตายเสียก่อนแล้วจึงร่วมเพศกับศพ โดยเชื่อว่าความผิดปกติชนิดนี้ เกิดจากความพยายามที่จะมีอำนาจเหนือคนอื่นแฝงอยู่ในจิตใจในสมัยอียิปต์โบราณ เมื่อหญิงสาวในตระกูลสูงและผู้หญิงที่สวยเป็นพิเศษตายจะเก็บศพไว้ก่อน ประมาณ 3 หรือ 4 วัน ก่อนที่จะให้สัปเหร่อนำไปดำเนินการต่อไป เพื่อป้องกันไม่ให้สัปเหร่อมีเพศสัมพันธ์กับศพ
20. เบ็สทิแอ็ลลิทิ หรือ โซฟิลเลีย (Bestiality หรือ Zoophilia)
การชอบสมสู่กับสัตว์ (Bestiality หรือ Zoophilia) หมายถึง ภาวะที่คนมีความสุข ความพอใจทางเพศจากการร่วมเพศกับสัตว์ ซึ่งอาจเป็นการร่วมเพศด้วยองคชาติและช่องคลอดตามปกติ การร่วมเพศทางทวารหนัก การดูดอมอวัยวะเพศผู้ หรือการเลียอวัยวะเพศเมีย รวมทั้งอาจมีความสุขทางเพศจากการถูกสัตว์ (ที่ฝึกไว้สำหรับการนี้) เลีย หรือถูอวัยวะเพศของตนก็ได้ จากการศึกษาข้ามวัฒนธรรมปรากฏว่ามีกรณีที่คนมีเพศสัมพันธ์กับสัตว์อยู่จำนวนมาก ซึ่งมีทั้งการสมสู่ระหว่าง คนกับสุนัข วัว ควาย แกะ ม้า และไก่ พบได้ทั้งในเพศชายและเพศหญิง โดยปกติจะเป็นการทดลองการมีเพศสัมพันธ์ และภาวะคับข้องใจเนื่องจากการขาดคู่ร่วมเพศ มักจะเกิดในชนบทห่างไกลไม่มีโอกาสปลดปล่อยความต้องการทางเพศกับเพศตรงข้ามหรือมีน้อย ไม่จำเป็นเสมอไปว่าคนที่มีพฤติกรรมสมสู่กับสัตว์จะต้องเป็นโรคจิต แต่ก็อาจจะพบในผู้ป่วยทางจิต (psychosis) หรือปัญญาอ่อน (mental retardation) ก็ได้
โดยมากผู้ที่มีเพศสัมพันธ์กับสัตว์แบ่งออกเป็น 2 จำพวก คนจำพวกแรกที่นิยมทำเช่นนี้คือ พวกที่ทำงานเกี่ยวกับปศุสัตว์หรือผู้เลี้ยงสัตว์ ซึ่งไม่ใคร่มีโอกาสร่วมเพศกับผู้หญิง คนพวกนี้เคยชินกับการดูแลสัตว์และกำจัดมูลสัตว์ จึงอาจฉวยโอกาสผ่อนคลายอารมณ์ทางเพศของตนกับสัตว์ที่ตนเลี้ยง พฤติกรรมนี้เกิดบ่อยในระยะเข้าสู่ พวกที่สองมักเป็นบุคคลจำพวกที่สองเป็นผู้ที่อยู่ในวงสังคมชั้นสูง ซึ่งส่วนมากจะเป็นสตรี คนพวกนี้จะใช้สุนัขขนาดเล็ก ซึ่งได้รับการฝึกหัดให้ร่วมเพศโดยใช้ปากกับอวัยวะเพศ หรือใช้สุนัขตัวผู้ขนาดใหญ่ เช่น อัลเซเชียนและสแปนเนียลให้ร่วมเพศกับเจ้านาย โดยทั่วไปการกระทำดังกล่าวไม่ก่อให้เกิดอันตราย สัตว์บางตัวอาจเพียงข่วนหรือกัดในขณะบรรลุจุดสุดยอด แต่มักไม่ทำให้บาดเจ็บรุนแรง และการติดเชื้อแทบจะไม่เกิดขึ้นเลย
สาเหตุของความผิดปกติชนิดนี้เชื่อว่าอาจเกิดจากความกลัวการ ล้มเหลวในการร่วมเพศกับเพศตรงข้าม หรือเป็นการกระทำเพื่อหลีกเลี่ยงความตึงเครียดทางอารมณ์จากการร่วมเพศกับผู้หญิง ซึ่งในจิตไร้สำนึกคิดว่าเป็นการร่วมเพศกับแม่ สำหรับผู้ป่วยบางคนการกระทำดังกล่าวอาจเป็นการแสดงออกของความก้าวร้าวหรือการดูถูกผู้หญิง โดยเปรียบเธอเสมอกับสัตว์ หรือโดยการเลือกสัตว์แทนที่จะเลือกเธอ และบางคนพฤติกรรมนี้เป็นผลมาจากการขาดคู่ร่วมเพศ หรือเป็นความต้องการที่จะทำอะไรให้แปลกไปจากธรรมดา ในวัยรุ่น ความผิดปกติชนิดนี้จะหายไปเองเมื่อเขาสามารถมีความสัมพันธ์กับเพศตรงกันข้ามได้ แต่ถ้าอาการนี้ยังอยู่จนถึงวัยผู้ใหญ่ ควรจะต้องรักษาความผิดปกติทางจิตที่อยู่ภายใต้อาการนี้
21. ชอบแลกเปลี่ยนคู่นอน
ความ จริงพฤติกรรมเช่นนี้เป็นเรื่องธรรมดามากในวัฒนธรรมชองชาวเอสกิโม เพราะพวกเขาจะยกภรรยาของตนเองให้หลับนอนกับแขกผู้มาเยือน คาดว่าสาเหตุอาจมาจากพวกเอสกิโมอาศัยอยู่ในถิ่นที่มีอากาศหนาวเย็นจนเป็นน้ำ แข็งตลอดปี ต้องอาศัยอยู่ในกระท่อมที่ทำด้วยน้ำแข็ง ดังนี้ การที่จะแสดงน้ำใจไมตรีต่อผู้มาเยือนก็คือ ยกภรรยาให้ไปนอนกกกอดและมีอะไรกับแขก เพื่อให้เกิดความอบอุ่นทางร่างกาย อย่างไรก็ดี พฤติกรรมนี้นิยมมากขึ้นกว่าเดิมโดนเฉพาะในกลุ่มสังคมชั้นสูงของชาวตะวันตก อาจมีสาเหตุมาจากเบื่อหน่ายคู่สมรส เลยต้องการแสวงหาความสุขที่แปลกใหม่
22. ออโต้อีโรติก (Autoerotic asphyxiation) ซึ่งเป็นพฤติกรรมความเบี่ยงเบนของการสำเร็จ ความใคร่ด้วยตนเอง เพื่อเพิ่มความพึงพอใจด้านเพศ ผ่านการมีความสุขจากการทำให้ร่างกายขาดออกซิเจน โดยการรัดคอหรือแขวนคอ ซึ่งจะไปเพิ่มความเข้มข้นของการบรรลุจุดสุดยอด ในการสำเร็จความใคร่ให้ตนเอง อาจเป็นเพราะกลัวผู้หญิง รังเกียจเพศตรงข้าม ชอบมีจินตนาการคนเดียว การสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองจะไม่เรียกว่า ออโต้อีโรติก จะต้องมีเครื่องมือ อุปกรณ์ ประกอบกามกิจด้วย เช่น อวัยวะเพศเทียม ก้อนเนื้อ แล้วแต่รสนิยม บางคนต้องการความเจ็บปวดก็จะใช้เชือก ที่ผ่านมาเคยมีคนไข้ผู้หญิง เป็นผู้หญิงโสด เรียนจบมาจากต่างประเทศ มาเข้ารับการบำบัดรักษาด้วยอาการนี้ โดยเวลากลางคืนจะเปลือยกายเอาเชือกมาพันตามตัว ตั้งแต่ต้นขาจนถึงระดับอก โดยจะรัดบริเวณอวัยวะเพศและหัวนมแน่นเป็นพิเศษ แล้วไปนั่งแกว่งชิงช้าอยู่หน้าบ้าน ซึ่งเข้าข่ายพฤติกรรมออโต้อีโรติ
การดูแลรักษา
เมื่อพบว่าผู้ป่วยมีปัญหาทางเพศ ต้องพยายามพิจารณาว่าเป็นอาการที่เกิดจากโรคทางกายได้ หรือไม่โดยมีแนวทางดังนี้ หากได้ประวัติว่ายังสามารถมีกิจกรรมทางเพศได้ตามปกติในบางสถานการณ์ (situational) เช่น ยังมีการแข็ง ตัวขององคชาติในขณะหลับหรือเวลาเพิ่งตื่นนอนสามารถสำเร็จความใคร่ด้ว ยตนเองได้หรือสามารถมีเพศสัมพันธ์กับหญิงอื่นได้โอกาสที่จะเป็นโรคทางกายก็จะน้อยลง แต่หากมีปัญหา ทางเพศในทุกสถานการณ์ (generalized) อาจเป็นปัญหาที่เกิดจากร่างกายหรือจิตใจก็ได้ เมื่อพบว่าผู้ป่วยมีปัญหาทางเพศควรตรวจร่างกายโดยเฉพาะบริเวณอวัยวะเพศทุกราย โดย เฉพาะอย่างยิ่งในรายที่มีปัญหาเรื่องความเจ็บปวดเวลามีกิจกรรมทางเพศ (dyspareunia) ส่วนการตรวจพิเศษอื่นๆควรพิจารณาข้อบ่งชี้เป็นรายๆไป เมื่อเห็นว่าผู้ป่วยน่าจะไม่มีปัญหาทางกายที่เป็นสาเหตุของปัญหาทางเพศ
ขั้นตอนต่อไปคือ ซักประวัติความสัมพันธ์ทั่วไประหว่างผู้ป่วยกับคู่สมรส เนื่องจากปัญหาทางเพศอาจเกิดจาก ปัญหาระหว่างคู่สมรสได้และการรักษาจะได้ผลไม่ดีหากปัญหาระหว่างคู่สมรสยังคงอยู่ ความ เครียดในเรื่องอื่นๆที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยก็เป็นปัจจัยสำคัญเช่นกัน ขั้นตอนต่อไปคือพยายามค้นหาและแก้ไขความเข้าใจของผู้ป่วยที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับเพศ ศึกษา ความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับเพศศึกษาที่พบบ่อยมีมากมาย การแก้ไขความเข้าใจที่ไม่ ถูกต้องจะสามารถแก้ปัญหาทางเพศของผู้ป่วยไปได้จำนวนหนึ่ง ขั้นตอนต่อไปคือ การฝึก sensate focus exercise การฝึกนี้เป็นพื้นฐานในการรักษาปัญหา ทางเพศทุกชนิด แบ่งเป็น 3 ระยะ
ระยะแรก (non-genital sensate focus exercise) จะไม่อนุญาตให้มีการสัมผัสอวัยวะเพศ และเต้านมของคู่สมรส และไม่ให้มีการร่วมเพศ ทั้งนี้เพื่อให้คู่สมรสได้เรียนรู้ว่านอกจากอวัยวะ เพศและเต้านมแล้ว การสัมผัสเล้าโลมส่วนอื่นๆของร่างกายก็สามารถทำให้เกิดอารมณ์และ ความสุขทางเพศได้เช่นกัน และยังเป็นการลดความกังวลเกี่ยวกับการสัมผัสอวัยวะเพศและ การร่วมเพศอีกด้วย ถ้าระหว่างฝึกคู่สมรสมีความต้องการทางเพศสูงมากให้สำเร็จความใคร่ ด้วยตนเองแทน
ระยะต่อไป (genital sensate focus exercise) จะอนุญาตให้มีการสัมผัสอวัยวะเพศและเต้า นมได้ เพื่อให้เริ่มเรียนรู้ว่าจะกระตุ้นอวัยวะเพศและเต้านมอย่างไรจึงจะเป็นที่พอใจ ในระยะนี้ ยังไม่อนุญาตให้คู่สมรสร่วมเพศเช่นกัน เมื่อปฏิบัติได้ดีจึงจะอนุญาตให้มีการร่วมเพศจริงๆหลังจากมีการเล้าโลมตามวิธีที่ได้ฝึกปฏิบัติ มาจนเกิดความตื่นตัวทางเพศดีแล้ว นอกจากการฝึก sensate focus exercise แล้วการฝึกอีกอย่างหนึ่งที่มีประโยชน์กับปัญหา ทางเพศทุกชนิดคือการฝึกขมิบกล้ามเนื้อหูรูด (pubococcygeal or PC muscle exercise; Kegel’s exercise) เพื่อให้กล้ามเนื้อนี้แข็งแรงซึ่งจะทำให้ช่องคลอดกระชับและ เกิดความรู้สึกดีขึ้น ส่วนในผู้ชายก็จะทำให้การแข็งตัวดีขึ้นและความรู้สึกสุดยอดรุนแรงขึ้น หลังจากได้แก้ไขความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับเพศศึกษา ฝึกหัด sensate focus exercise และฝึกขมิบกล้ามเนื้อหูรูดแล้ว จะแนะนำให้ผู้ป่วยปฏิบัติตามวิธีการจำเพาะในการ รักษาปัญหาทางเพศแต่ละชนิด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น